เอกลักษณ์ของ Theatre คือการผลิตเสื้อผ้าชั้นสูง ทุกชิ้นเป็นงานศิลปะที่ตัวดีไซน์เนอร์ไม่ยอมปล่อยให้รายละเอียดตกหล่นในทุกขั้นตอน ในสัมภาษณ์นี้ คุณจ๋อมบอกว่า บางชิ้นก็ไม่ได้เป็นไปตามสเกตช์ที่วางไว้ แต่ต้องปล่อยตามใจไปตามธรรมชาติของเนื้อผ้าและสีสันของมัน ให้กลายเป็นรูปร่างที่เหมาะกับชีวิตของวัสดุที่สุด
สัมภาษณ์ จ๋อม ศิริชัย ทหรานนท์ ดีไซเนอร์ Theatre โดย คณธีร์ ภมรานนท์ สไตล์ลิสต์ชั้นนำของไทย
คณธีร์: ทำไมพี่จ๋อมถึงชอบลายเสือ จ๋อม: เรารู้สึกว่ามันคลาสสิค มันเป็น Parisian แล้วเราก็ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีหยอดบ้าง ไม่ข้างในก็ข้างนอก แต่ตอนนี้เราเริ่มชัดเจน ว่าเราใช้ลายเสือได้มากยิ่งขึ้น จริงๆ ลายเสือก็เรียกได้ว่ายอดนิยมนะ ทุกซีซั่นก็จะมีตลอด ใส่ได้เรื่อยๆ
แต่อีกลายหนึ่งที่พี่จ๋อมใช้ตลอดแล้วเราชอบมากคือสไตล์ multicolor หรือสีเยอะๆ ใช่ แต่ครั้งนี้ก็จะมีสีพาสเทล สีโมโนโทน แล้วช่วงนี้เราก็อยากให้มันสปอร์ตด้วย เพราะคนเดี๋ยวนี้ก็ใส่อะไรที่ง่ายๆ กัน ให้เอาไปมิกซ์กับอะไรก็ได้ แล้วเราก็เพิ่มพวกสีสันเข้าไปมากขึ้น บางตัวก็เติมแถบให้มันมีความสปอร์ตยิ่งขึ้น เดี๋ยวจะเฉยๆ เกินไป เสื้อผ้าเราลายจะเยอะมาก เพราะเป็นอะไรที่เราชอบอยู่แล้ว ผ้าที่เราสะสมมานานอย่างไหมอินเดีย รอบนี้ก็ได้เอามาใช้ แต่ก็มีอยู่แค่เมตรครึ่งอะไรแบบนี้ ส่วนตัวเราชอบก็ซื้อๆ เก็บไว้ แล้วเอามารวมกันในคอลเลคชั่นนี้ ซึ่งเป็นคอลเล็คชั่นที่เรียกได้ว่าเป็นการเอาผ้าของรักของหวงออกมาใช้เยอะเลย แล้วผ้าก็ไม่ใช่ว่าหาได้ง่ายๆ ก็เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา
แล้วถ้าต้องไปผลิตจริงเยอะๆ ล่ะ ก็ได้เท่าไหนเท่านั้น ก็เป็นแบบนี้แหละ แล้ว ณ ปัจจุบันเราทำเสื้อน้อยลง หมายถึงต่อจำนวนชิ้นนะ เพราะผ้าเราที่เคยสะสมไว้ก็จะไม่ค่อยเยอะ เช่น เสื้อแบบนี้มี 3 ผ้าปรากฏว่าผ้าชนิดหนึ่งหมดไปแล้ว แต่เราไปเจอผ้าที่มันใช้แทนกันได้ก็ทำเพิ่มเข้าไป เป็นแบบเดียวกันแต่สีหรือดีเทลก็จะต่างกันไป เพราะฉะนั้นจะเป็นอะไรที่ลูกค้าได้ของไปไม่ซ้ำใคร ซึ่งจะมีแบบนี้เยอะเหมือนกัน
ส่วนตัวคิดว่าพี่จ๋อมเป็นคนที่ใช้ผ้าเก่ง พี่จ๋อมจะรู้การดีไซน์และเอามาปรับใช้ให้เข้ากับผ้า ให้ผ้าออกมาดูดีมีราคา เลยอยากรู้ว่าพี่จ๋อมมีหลักอย่างไรในการทำบ้าง ไม่มีหลักนะ คือบางทีเราจากที่เราสเก็ตช์ไว้ มันก็ไม่เหมือนเวลาเราจับผ้าจริงๆ คือเรามีวัตถุดิบอยู่แล้ว เช่นสมมติว่าเชิ้ตตัวนี้มันเรียบไป เราก็ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้มันเกิดดีไซน์ หรือถ้าเป็นลายทางเรียบๆ เราจะทำเป็นลายกราฟฟิกดีไหม หรือเอาลูกไม้มาตกแต่ง ก็จะคิดว่าถ้าจะทำเชิ้ตตัวหนึ่ง ก็อยากทำให้มันน่าสนใจ ก็ต้องมองว่าเรามีวัตถุดิบอะไรบ้างที่จะหยิบมาใส่ คือเราก็ต้องมีผ้าและตัวตกแต่งสต๊อกไว้ประมาณหนึ่งอยู่แล้ว นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการทำให้เสื้อมันมีดีเทล
แล้วการทำเสื้อมันใช่ว่าจะพึ่งระยะเวลาหรือประสบการณ์ได้อย่างเดียว มันต้องมีการเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ ของเราด้วย อย่างเราอยากจะได้เสื้อสวยๆ ก็ต้องใช้เวลา กว่ามันจะเสร็จออกมาได้ต้องดูแลอะไรหลายอย่าง ถ้าเกิดคนที่รู้จักเสื้อเราจริงๆ จะเห็นได้ว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จะมีสอดแทรกเข้าไปตลอด ไม่ว่าจะเป็นซับใน ตะเข็บนอก ตะเข็บใน เราก็ยังให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้อยู่ และนอกจากความรักแล้วเรายังเอ็นจอยไปกับมันด้วย แล้วจะบอกว่าบางทีมันคิดเป็นดีไซน์ไม่ได้หรอก มันต้องจับเองไง มันบังคับเราให้ต้องทำ คือบางทีเรามีผ้าชิ้นหนึ่ง ก็คิดว่าจะต้องไปหาอีกแบบมาให้ได้เพื่อที่จะให้มัน matching กัน คือมันเป็นคล้าย mission ที่เราต้องทำให้ได้ ก็นั่นแหละความรักในตรงนี้ บางทีมันเพราะตัววัตถุดิบล้วนๆ ที่ทำให้เกิดดีไซน์ขึ้นมา
Theater ในคอลเลคชั่นนี้ มีอะไรที่เราไม่เคยเห็นไหม ก็อาจจะเห็นผ่านๆ ตามาบ้างแล้ว แต่คอลเลคชั่นนี้สีมันจะนัวๆ เพราะอย่างที่บอกว่าธีมคือ “Across the Universe” แต่เราเป็น across ที่อยู่ด้วยกันแล้วไม่ขัดกัน ชุดทั้งหมดก็แบ่งเป็นชาย 20 หญิง 20 ชุด เราก็หาคนที่ลงกับชุดนั้นๆ ให้ได้ 40 คน 40 แบบ แต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง จะดูชุดไม่ค่อยออกหรอกว่าอันไหนหญิงอันไหนชาย มันเป็น unisex คือผู้หญิงก็สามารถใส่ของผู้ชายได้ เพราะลูกค้าเราก็เป็นแบบลักษณะนั้น
พี่จ๋อมมี passion ในการใช้ชีวิตตอนนี้อย่างไรเพราะที่เราเห็นคือพี่จ๋อมเป็นคนทำงานตลอด เดี๋ยวนี้เราพยายามใช้ชีวิตที่เราอยากจะใช้ ถ้ามีโอกาสก็อยากเดินทางไปในที่ที่เรายังไม่เคยไป เราก็เน้นเรื่องการไปเที่ยวดูวัฒนธรรมในประเทศนั้นๆ มากกว่า ก็พยายามจัดทริปปีหนึ่งให้มีทริปใหญ่ๆ 1-2 ทริป ส่วนหนึ่งอยากจะเก็บแถวเอเชียให้หมด อย่างพม่าก็อยากจะไปหลายๆเมือง ก็มีผ้าพม่าติดมือมาด้วย ตอนนั้นพี่ไปพุกาม ไปมันดาเลย์ ซึ่งก็ยังอยากจะกลับไปอีก ก็ไปแถวๆ นี้แหละ มีความรู้สึกว่าอยากไปเก็บคัลเจอร์ของเอเชีย แล้วก็พวกทริปไกลๆ อย่างอเมริกาใต้ก็ต้องวางแพลนไว้อีกที นั่นคือสิ่งที่เราเอ็นจอยมากช่วงนี้
แล้วเวลาเราดีไซน์มันเกี่ยวกับซีซั่นโลกไหม สำหรับพี่พี่ไม่ยึดติดตรงนั้นนะเพราะเราไม่ได้ทำล่วงหน้า เรียกว่าเราเอาความสบายใจของเราเป็นหลัก เพราะก็เป็นแนวของเราที่ทำแบบ no season อยู่แล้ว เราอาจจะทำช้ากว่าคนอื่นด้วยซ้ำ เพราะสตูดิโอพี่เล็กและพี่ต้องทำทั้งชายและหญิง เราก็ต้องคิดทั้งสองพร้อมกัน เลยไม่สามารถที่จะทำผู้หญิงไปแล้ว ผู้ชายยังไม่ทำ มันเลยออกมาไม่ค่อยเป็นคอลเลคชั่นเต็มๆ นอกจากเราจะทำโชว์ที่เห็นได้ชัดกว่าว่าเป็นคอลเลคชั่น
โชว์ของ Theatre ที่ ELLE Fashion Week 2017 คือวันพุธ ที่ 30 สิงหาคม เวลา 21.00 น.
Comments