หมายเหตุ: สัมภาษณ์นี้ทำก่อนที่เขาจะปล่อยจรวดสองสัปดาห์ ตอนนี้ภารกิจส่งจรวดเสร็จไปแล้ว เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา
สัมภาษณ์โดย พัทธ์ธีรา เกียรติสุดาเกื้อกูล
แผ่น Golden Record เป็นแผ่นบันทึกเรื่องราวต่างๆ ของมนุษย์ชาติตั้งแต่เพลงของ Beethoven วงเมกาลันของชาวเกาะชวา เสียงเด็กร้องไห้ เสียงทักทาย 54 ภาษา รวมไปถึงข้อมูลภาพอีก 117 ภาพซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นภาพรถติดที่กรุงเทพฯ มันถูกส่งออกไปพร้อมกับยานวอยเอเจอร์ 1 (Voyager I) ตั้งแต่ปี 1977 เพื่อวันหนึ่งมันอาจจะถูกพบโดยสิ่งมีชีวิตนอกโลกและอ่านข้อมูลจากแผ่นนั้น
และการส่งข้อมูลขึ้นไปในอวกาศกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในเร็วๆ นี้โดยคนไทยในนามของบริษัท mu Space Corp ร่วมกับ Blue Origin ซึ่งก็คือคู่แข่งของ SpaceX นั่นแหละ อาจจะไม่ค่อยได้ยินชื่อหรือเห็นในสื่อมากนักเพราะเขาจะชอบทำเงียบๆ แล้วปล่อยออกมาตู้มเดียวเลยมากกว่า
mu Space Corp เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านดาวเทียม และเทคโนโลยีอวกาศ คำว่าเทคโนโลยีอวกาศในที่นี้รวมไปถึงการสร้างจรวด prototype เพื่อพัฒนา censor ข้างในจรวดอีกด้วย อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่า Mu Space กำลังจะส่งส่งสัมภาระหรือ payload ขึ้นไปในอวกาศ โดยข้างในกล่องสัมภาระนั้นเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์และโปรเจ็กต์ที่ mu Space กำลังพัฒนาอยู่ เช่น ศึกษาการไหลของของเหลวในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง การแผ่รังสีในอวกาศ เป็นต้น แต่ส่วนที่เราฟังแล้วตื่นเต้นมากที่สุดคือ mu Space จะส่งเพลงความฝันกับจักรวาลของบอดี้สแลมขึ้นไปอวกาศในรูปแบบของการบรรจุข้อมูลไว้ใน DNA
โดยปกติใน DNA จะบรรจุข้อมูลทางพันธุกรรมเช่น ผมหยิก ผมตรง ตาฟ้า ผิวดำ ผิวขาว ซึ่ง DNA สามารถบรรจุข้อมูลได้มหาศาลยิ่งกว่า External Harddisk เสียอีก โปรเจคนี้จึงเป็นการนำเอา DNA ของสิ่งมีชีวิตมาสังเคราะห์ใหม่แล้วบรรจุข้อมูลอื่นๆ เช่นเพลงพี่ตูนลงไปแทนที่ จากนั้นก็ส่งเจ้า DNA นี้ออกไปอวกาศแล้วนำกลับมาเปรียบเทียบดูว่าสภาวะในอวกาศและรังสีต่างๆ เนี่ยมีผลต่อข้อมูล DNA ไหม ถ้าการทดลองนี้ผ่านไปได้ด้วยดีอาจจะหมายความว่านอกจากเราจะเก็บเพลงที่ชอบไว้ได้นานและคงอยู่แม้ว่าโลกจะแตกไปแล้ว เรายังสามารถแบ่งปันเพลงนั้นให้กับเพื่อนๆ สิ่งมีชีวิตนอกโลกเหมือนแชร์เพลย์ลิสต์ใน Spotify ได้อีกด้วย ในอนาคตเราอาจจะเห็นสิ่งมีชีวิตนอกโลกขึ้นร่วมแสดงในงาน MTV VMAs ก็ได้นะ
ทั้งที่ประเทศไทยเองก็มีบริษัทล้ำๆ แบบนี้กับเขาเหมือนกัน ทำจรวดก็ได้แต่ที่เราไม่สามารถมี SpaceX ปล่อยจรวดด้วยตัวเองได้เป็นเพราะข้อกฎหมายของไทยที่ระบุให้จรวดเป็นอาวุธสงคราม อ้างอิงจากมาตรา 78 ผู้ใดทำ ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ ซื้อ มี ใช้ สั่ง หรือนำเข้าซึ่งอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด นอกจากที่กำหนด ในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 55 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึง จำคุกตลอดชีวิต สิ่งที่เราสามารถยิงขึ้นฟ้าได้ตอนนี้จึงมีแค่บั้งไฟเท่านั้น
เนื่องจากเดือนนี้เป็นเดือนอวกาศและวิทยาศาสตร์ประจำ Thirdworldtoday เราจึงไปสัมภาษณ์คุณณต และ คุณกรินทร์จาก mu Space Corp มา
แนะนำตัวหน่อยค่ะ
ณต: ชื่อณตครับเป็น Aerospace Engineer
กรินทร์: ชื่อกรินทร์ตำแหน่ง Lead Communication ครับ
เรียนจบอะไรกันมาคะถึงได้มาทำงานด้านอวกาศ
ณต: เรียนจบจากภาควิชาวิศวกรรมการบินและอวกาศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์โดยตรงเลยครับ
กรินทร์: เรียนการออกแบบสื่อปฏิสัมพันธ์และมัลติมีเดีย มศว มาครับ เข้ามาทำงานที่นี่เพราะเห็นว่าเป็น start up ไทยที่น่าสนใจ
ไม่อยากเป็นนักบินอวกาศบ้างเหรอ
ณต: อยากนะ พูดไปก็เหมือนดับฝัน อุตสาหกรรมอวกาศเนี่ยมันเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศนั้นๆ โดยตรง ทีนี้ความรู็พวกนี้เขาไม่ยอมบอกกันง่ายๆ หรอก ที่บอกว่ามีคนไทยทำงานหรือเป็นนักบินของ NASA เนี่ยอย่างน้อยก็ต้องเป็น citizen ของ US เขาไม่ให้คนนอกมาทำหรอก ไม่งั้นต้องรอให้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศซึ่งมันจะมีความ politics หน่อย อย่างตอนนั้นเวียดนาม ที่มีคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนแรกขึ้นไปในอวกาศตอนนั้นเขาก็ไปกับโซเวียต ก็เป็นเรื่องของสงครามเย็น แต่ปัจจุบันภาคเอกชนก็มีการทำจรวดขึ้นก็จะช่วยลดช่องว่างตรงนี้ได้
อาชีพในฝันตอนเด็ก
ณต: อาชีพนี้เลยครับ สนใจอวกาศมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆ ชอบอ่านหนังสือเด็กที่เป็นรูปอวกาศแล้วมีคำอธิบายข้างๆ เรื่องดาวเคราะห์อะไรแบบนี้ ก็เลยเลือกเรียนภาควิชานี้
กรินทร์: อาชีพมีเงินแบบไม่ต้องทำงานครับ
เคยเล่นจรวดขวดน้ำอัดลมไหม
ณต: ไม่เคยครับ
กรินทร์: เคย เคยประกวดด้วยครับ แต่ไม่ชนะ
คิดว่าอีก 50 ปี ประเทศเราจะเป็นอย่างไร
กรินทร์: ในช่วงหลังๆ มานี้เทรนด์เรื่องอวกาศมันค่อนข้างมาแรง มี Space Expo ประเทศจีนก็ส่งจรวดขึ้นไป อาหรับเอมิเรตก็ส่ง หลายๆ ประเทศเขาก็เริ่มหันมาสนใจ เราก็อยากเป็นตัวจุดประเด็นเรื่องอวกาศในไทยเหมือนกัน
ณต: คือตอนนี้เรากำลังอยู่ในยุคของ New Space Race มันเริ่มมาจากช่วงสงครามเย็นที่ US กับโซเวียตเขาแข่งกันสำรวจทางด้านอวกาศ สุดท้ายก็เป็น US ที่เหยียบดวงจันทร์ โซเวียตเขาก็เลยแผ่วๆ ลง อันนี้คือ Space Race ครั้งแรกทีนี้พอโซเวียตเขาแผ่วลง งบประมาณทางด้านอวกาศของ NASA ก็โดนตัดลงเพราะไม่มีคู่แข่ง พอรัฐบาลเริ่มให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมอวกาศเลยทำให้มีทั้งเอกชนและรัฐบาลที่เป็นมหาอำนาจทางด้านอุตสาหกรรมอวกาศจนกลายเป็น New Space Race อย่างอินเดียก็เพิ่งส่งดาวเทียมไปดาวอังคารด้วยงบประมาณที่ถูกกว่าหนังเรื่อง Gravity เมื่อก่อนจรวด 1 ลำพอปล่อยออกไปก็คือจะโดนทำลายเลย แต่เดียวนี้จรวดพอกลับมาบนโลกเปลี่ยนเแผ่นกราะหน่อยก็ reuse ได้แล้ว
กรินทร์: 50 ปีหน้า รถที่มันใช้ไฟฟ้าและขับด้วยตัวเองมันก็น่าจะแพร่หลายแล้วล่ะ Infrastructure สถานีชาร์จ การจราจรทุกอย่างมันคงซัพพอร์ทหมดแล้ว การเดินทางในอวกาศคงเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ใน 3-5 ปีนี้เขาจะเริ่มทดสอบ Space Travel กันเพราะฉะนั้นในอีก 50 ปีมันน่าจะเป็นเหมือนเวลาเรานั่งเครื่องบินไปเที่ยวแล้วก็กลับ เหมือนทริปไปยุโรป
ณต: ทางรัฐบาลและเอกชนหลายๆ ประเทศก็มีแผนที่จะจัดตั้งอาณานิคมบนดวงจันทร์หรือว่าดาวอังคารภายใน 3-4 ปีนี้ มีโครงการ Artemis ของ NASA ที่จะพาคนขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์อีกครั้งหนึ่งในรอบ 50 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งคราวนี้เขาใช้คอนเซ็ปท์ว่า Moon to Stay เป็นภารกิจเพื่อใช้ชีวิตอยู่บนดวงจันทร์ให้ได้
ถ้าเลือกได้อยากย้ายไปอยู่บนดาวอะไร
ณต: อันนี้ผมเพิ่งไปอ่านเจอมา ช่วงนี้ผมสนใจไปดาวศุกร์ครับ จริงๆ ดาวศุกร์มีลักษณะใกล้เคียงโลกมากกว่าดาวอังคารอีก แต่ร้อนมากเหมือนโลกที่เกิดภาวะเรือนกระจกหนักๆ อุณหภูมิพื้นผิวร้อนประมาณ 3-400 องศาเซลเซียส มนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ และมีความดันบรรยากาศเป็น 93 เท่าของโลก เหมือนเราดำน้ำไป 1 กิโลเมตร ชั้นบรรยากาศที่หายใจเนี่ยมีแต่คาร์บอนไดออกไซด์ ฟังแล้วดูไม่น่าอยู่ ดูอยู่ไม่ได้ แต่ข้อดีของมันคือแรงโน้มถ่วงของดาวศุกร์เนี่ยเท่ากับ 0.9 เท่าของโลก ซึ่งแรงโน้มถ่วงเนี่ยไม่ดีต่อสุขภาพของมวลกระดูกมนุษย์อยู่แล้ว ทีนี้ถ้าเราจะอยู่บนดาวศุกร์ได้เนี่ย ไม่ใช่บนพื้นผิวแต่เป็นบนฟ้า สูงจากพื้นผิว 50 กิโลเมตร จุดตรงนั้นแค่ใส่ชุดนักดับเพลิงแล้วมีหน้ากากออกซิเจนเราใช้ชีวิตได้ปกติเลย คืออยู่บนบอลลูน เหมือนเมืองใน Star Wars เลย จริงๆ NASA เขาก็มีคอนเซ็ปต์ออกมาแล้วนะแต่ยังไม่มีเงินทุน
กรินทร์: อยากอยู่บนโลกนี่แล่ะครับ มันก็ตั้งกี่หมื่นปีมาแล้ว รู้สึกว่ามนุษย์ถูกออกแบบมาให้อยู่บนดาวโลกนั่นแล่ะ ถ้าย้ายไปอยู่ที่อื่มันก็ต้องปรับตัวมีวิวัฒนาการอีกกว่าจะเสถียร
ในทีมเชื่อเรื่องดวงไหม
ณต: ผมไม่เชื่อครับ
กรินทร์: ไม่เชื่อเหมือนกันครับ เชื่อในวิทยาศาสตร์
สีงมงคล เบอร์มงคล
กรินทร์: ไม่เชื่อเลย แต่ถ้าวันหนึ่งมันพิสูจน์ได้ด้วยหลักการก็อาจจะเชื่อครับ
ณต: จริงๆ มันมีเรื่องตอน Apollo13 คือเลข 13 มันเป็นเลขไม่นำโชค แล้วตอนปล่อยจรวดมันดันเกิดอุบัติเหตุพอดี
คิดว่าผีมีจริงไหม
กรินทร์: ไม่มีสิครับ ก็ร่างกายตายไปก็สลายเป็นสาร แล้วก็หายไปไม่ได้เกิดเป็นแบบอีกร่างหนึ่งได้
คิดว่ามีเอเลี่ยนไหม
ณต: มีความเป็นไปได้นะ
กรินทร์: คือถ้าสมมุติมันมีดาวที่สภาพแวดล้อมมันเหมาะสมอะ มันก็เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้ ถ้ามีดาวที่เหมือนโลก เอเลี่ยนก็อาจจะหน้าตาเหมือนคนก็ได้
ถ้าต้องเลือกว่าจะเจอผีกับเจอเอเลี่ยน จะเลือกอะไร
ณต/กรินทร์: เอเลี่ยนครับ
อยากเจอเอเลี่ยนไหม
กรินทร์: อยากเจอครับ เพราะอยากรู้ว่าเขามาจากไหน
ณต: ไม่อยากเจอเป็นคนแรก เจอคนแรกน่าจะตกใจ
ปกตินอกจากเรื่องอวกาศติดตามข่าวสารเรื่องอะไรบ้าง กดไลก์เพจอะไรบ้าง
ณต: การเมืองระหว่างประเทศครับ คาราโอเกะใต้ดินก็ดู
กรินทร์: ก็ฟอลโลวไว้หมดแหละครับ แต่ไม่มีเวลาดู
รู้จัก Nirvana หรือเปล่า
กรินทร์: ไม่รู้จักครับ
ณต: รู้จักครับ Smells Like Teen Spirit, Heart-Shaped Box แล้วเพลงอะไรนะ Come Come จำไม่ได้
Come as You Are?
ณต: ครับ ล่าสุดผมเพิ่งดู live ที่ David Bowie เขาร้อง cover เพลงอะไรนะ
ดู Tenet หรือยัง งงไหม
ณต: ยังครับ
กรินทร์: ดูแล้ว งงตอนที่มันสู้กันนิดนึง
มีอะไรอยากฝากถึงน้องๆ หนูๆ หรือคนที่สนใจเรื่องอวกาศอยากทำงานอยู่ในวงการอวกาศบ้างคะ
ณต: จริงๆ เรื่องอวกาศมันเป็นเรื่องของทุกคนไม่ว่าจะจบสายไหนมาก็มีส่วนร่วมในวงการอวกาศได้ เพราะว่ามันใช้ความรู้ทุกศาสตร์จริงๆ นักบินอวกาศของ NASA มีคนที่มาจากอาชีพครูก็มีนะ
กรินทร์: จริงๆ แล้วเทคโนโลยีอวกาศเขาใช้ทุกศาสตร์ทั้งวิทย์ทั้งศิลป์ อย่างบริษัทเราหลักๆ วิทย์ก็จะเป็นพาร์ทวิศวกร แต่มันก็มีพาร์ทอื่นด้วย design, PR, communication, marketing ถ้าสมมุติว่าใครสนใจที่จะมาทำหลักๆ มันอยู่ที่ passion เลย
สามารถติดตามข่าวสาร ข้อมูลเพิ่มเติมและร่วมลุ้นไปกับภารกิจส่ง payload เพลงพี่ตูนไปอวกาศได้ที่:
Comments