top of page
  • Black Facebook Icon
  • Instagram

Welcome to the world where truth doesn't hurt

ไปเฟสติวัลที่ LA ก็สนุกดี แต่ติดใจร้านเบอร์เกอร์กับร้านซีดีมากกว่า



มีอย่างหนึ่งที่คุณอาจจะยังไม่รู้ คือตอนนี้รองเท้าคอนเวิร์สเขาเลิกผลิตในไทยแบบฐาวรแล้ว ทุกคู่ที่ขายในร้านทุกร้านตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เป็นอิมพอร์ตทั้งสิ้น เมื่อเป็นอย่างนี้ จะดูพรีวิวคอลเล็คชั่นใหม่ มันก็ต้องไปไกลถึงเมืองนอกแบบนี้ล่ะ

แต่ก่อนเข้าเรื่องที่ไปเที่ยวแอลเอกับคอนเวิร์ส ขอพูดเรื่องสถานที่สำคัญที่สุดของทริปนี้ก่อน นั่นคือเมกกะแห่งดนตรีที่ควรค่าต่อการนังอูเบอร์ไปสักการะหากคุณไปเมืองนี้ เพราะหน้าตามันอลังการอย่างนี้



ร้าน Amoeba Music คือสวนมหัศจรรย์ที่คุณสามารถฝังตัวอยู่ได้ทั้งวัน ทุกอย่างเป็นแบบที่คุณคิดว่าร้านแผ่นเสียงควรจะเป็น พนักงานหน้ามุ่ย แต่รู้ดีและยินดีบริการทุกคำถามเรื่องเพลง โซนแจ๊ซมีห้องของตัวเองที่คุณลุงหัวหงอกแว่นหนาประจำการ ชั้นลอยเป็นโซนดีวีดีที่คัดมาเฉพาะแนวที่คนรักดนตรีชอบ (ในที่นี้รวมถึงสารคดีสัตว์โลกด้วย) โซนหนังสือน้อยไปนิดนึง แต่หนังสือมือสองที่อยู่ในกล่องกระดาษวางซ้อนกันมีของเด็ดราคาถูกหลงมาเยอะ เช่นนิตยสาร Raygun จากยุค 90s เล่มละ 5-10 เหรียญ หรือนิตยสาร Rolling Stones จากยุค 70s ที่ฉบับละ 2 เหรียญเอง วันนั้นอยากซื้อโปสเตอร์เยอะๆ แต่ก็ขี้เกียจขนหลอดกระดาษขึ้นเครื่องบิน  การไปที่นี่ทำให้ได้รู้ว่าตอนนี้แผ่นเสียงได้รับความนิยมพอๆ กับซีดี และโซนคลาสเซ็ตเทปก็ยังมีอยู่ แต่คนไม่มาก ไม่รู้ขายได้บ้างหรือเปล่า 



มันถูกต้องไปเสียทุกสิ่ง วันที่ไปเครื่องเสียงเขาเปิด Velvet Underground เลี้ยงบรรยากาศ การคุ้ยแผ่นแล้วมีเสียงทุ้มๆ ของลู ลีด เคล้าคลอนี่มันคลาสสิคดีแท้ มันถูกต้องมากๆ แม้แต่กลิ่นของร้านก็เป็นแบบที่คุณจินตนาการเมื่อดูจากภาพนั่นล่ะ เรายกให้ที่นี่เป็นที่ๆ ดีที่สุดของ LA เลย

จบ. ทีนี้จะเล่าเรื่องไปเที่ยว LA กับคอนเวิร์สให้ฟัง


 

DAY 1: Dear Diary,


นี่ผมเพิ่งรู้ว่าเครื่องบินจากฮ่องกงไปแอลเอมันไม่ได้บินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกทื่อๆ แบบที่คิด แต่มันเลาะไปตามขอบทวีป ผ่านญี่ปุ่น ผ่านเกาหลี ขึ้นไปไซบีเรีย หมุนตัวที่อลาสก้า วิ่งลงมาซีแอตเติ้ล กว่าจะได้ร่อนลงแอลเอก็ยืดยาดกินเวลาไปอีก 18 ชั่วโมง ยาวนานจนล้าและไม่อยากจะนึกถึงขากลับในอีกเจ็ดวันข้างหน้า

แต่ทันทีที่รถจอดหน้าโรงแรม The Hollywood Roostvelt ผมก็เหวอว่า โห…ทริปนี้หรูว่ะ มันเป็นโรงแรมสี่ดาวครึ่งอายุ 90 ปี ที่มีประวัติข้องเกี่ยวกับซูเปอร์สตาร์ของฮออลีวู้ดมาช้านาน งานออสการ์ครั้งแรกก็จัดที่นี่ มันอยู่บน Hollywood Star Walk อันโด่งดังของ LA ที่ฟุตปาธหน้าโรงแรมดาวประดับชื่อดาราฮอลลีวูดเต็มไปหมด คิดแล้วก็ขัดแย้งกันดีที่เรามาอยู่ท่ามกลางดาวมากมาย ในทริปที่เรามากับรองเท้าดาวเดียว Converse One Star



นี่เป็นทริปที่คอนเวิร์สเขาพาน้องๆ จากสิบกว่าประเทศทั่วโลก ที่เป็นสมาชิกกลุ่มอินสตาแกรมลับ @Converse_X_ มาเจอกันประเทศละสองคน จุดประสงค์หลักเพื่อถ่ายทำแคมเปญจ์ที่จะใช้ทั่วโลกของ Converse One Star จุดประสงค์รองเพื่อพาเราไปเทศกาลดนตรี Camp Flog Gnaw (แคมป์ ฟลอกนอ) ที่ Tyler, The Creator ศิลปินที่ร่วมงานกับคอนเวิร์สบ่อยๆ เขาเป็นคนจัด น้องคนไทยสองคนที่มากับผมคือ แดน ดิษยะศริน นักดนตรีร็อคหน้าใหม่ และอีฟ ณัฐธิดา tattoo artist สาว

ตอนที่ผมเขียนนี้ผมเพิ่งจัดข้าวของเรียบร้อย วิวหน้าต่างน่ารักดี ผมอยู่ชั้น 7 เห็นเห็นทิวเขาเป็นฉากหลังให้เมืองเตี้ยๆ ของ LA เสียดายที่วิวห้องผมไม่เห็นป้ายฮอลลีวู้ดอันโด่งดังที่ผมอยากไปถ่ายรูปคู่จังเลย เดี๋ยวนี้ไปเมืองนอกผมก็ชอบไปถ่ายกับอะไรบ้านๆ แบบนี้แหละ แต่มันมีช่วงอายุหนึ่ง คือตอนยี่สิบต้นๆ เท่าน้อง Converse X พวกนี้ ที่ผมจะไม่ยอมมีรูปในที่โหลๆ พรรค์นี้เด็ดขาด เดี๋ยวดูไม่คูล แต่พอตอนเริ่มเลย 28 ก็เริ่มช่างแม่ง ตระหนักได้ว่านี่ดิ้นรนเอาเกราะป้องกันความสุขมาครอบตัวเองทำไมไม่เข้าเรื่องตั้งนาน ความกลัวไม่คูลนี่มันเหนื่อยแท้ จากนั้นไปเมืองไหนที่มีแลนด์มาร์คดังๆ ผมก็ไปถ่ายรูปคู่มันหมดล่ะ หอไอเฟล ไทม์สแควร์ บิ๊กเบ็น ทำตัวเป็นทัวริสต์บ้างก็สนุกดี นี่เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จผมจะลงไปถามรีเซ็ปชั่นว่าจะไปป้ายฮอลลีวู้ดยังไงดีกว่า

แอลเอเมืองมันจะเตี้ยๆ รถติดๆ ลืมเล่าว่าวิวบ้านเมืองระหว่างทางจากสนามบินมาโรงแรมเหมือนฉากในเกม GTA เด๊ะเลย ไอ้น้องแดนก็บอก เมื่อกี้ลุงคนขับรถบอกว่า ถ้าหิวให้ไปลองกินเบอร์เกอร์ In-N-Out เขาขับผ่านแล้วชี้ให้ดู มันอยู่ห่างจากโรงแรมไปแค่สองนาทีเดินเอง และตอนนี้ผมก็หิวแล้ว


แดน ดิษยะศริน @danieldidyasarin

อีฟ ณัฐธิดา  @_l_u_r_e_a_r_


DAY 2: Holly Hunter


In-N-Out คือเบอร์เกอร์ที่ดีที่สุดในโลก! เมื่อวานผมได้ปฏิญาณอธิษฐานจิตกับถังขยะในร้านว่าจะจงรักภักดีมากินอีกทุกวันจนกว่าจะกลับ มันเป็นเบอร์เกอร์สดใหม่ เนื้อไม่แช่แข็ง แล้วถ้าไม่ชอบกินขนมปังแบบผม เขามีแบบที่ใช้ผักห่อแทนขนมปังด้วยเว้ยยย หอม หวาน ให้คุณค่าทางโภชนาการ แล้วตรงที่กดซอสมะเขือเทศยังมีพริกดองเม็ดสีเหลืองให้กัดเพิ่มรสชาติด้วยถ้าต้องการ ถูกและดีและอิ่ม! เศรษฐีไทยสักคนควรซื้อแฟรนไชส์มาขายเมืองไทยเดี๋ยวนี้

สามโมงเย็นเมื่อวานระหว่างรอคอนเวิร์สเขาเรียกรวมพลครั้งตอนหกโมงเย็น ผมไปเดินเล่นละแวกโรงแรมกับน้องอีฟ กะว่าจะถ่ายรูปเล่นเรียกยอดไลค์เสียหน่อยแต่แถวนี้ไม่ค่อยมีไรให้ถ่าย มันก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่มันเงียบๆ เราเลยกดแผนดูที่ตามลิสต์สถานที่ๆ คอนเวิร์สเขาแนะนำ แล้วก็พบว่า…เชี่ย…เมืองนี้มันใหญ่มากนี่หว่า!



ถ้าอยู่แอลเอ จะไปไหนไม่นั่งรถนี่ลืมไปได้เลย เราอยากไปชายหาดแต่ก็ไม่อยากหลงทางกลับไม่ทันหกโมง สุดท้ายเราก็เลยเข้าร้านทัวร์ลิสต์ ได้ของกุ๊กกิ๊กงี่เง่าราคาไม่กี่เหรียญมาสองสามชิ้น แต่ก็ซื้อเพราะตอนนั้นอยู่ในอารมณ์อยากใช้เงิน เข้าใจไหม เรื่องตื่นเต้นวันนี้มีแค่ไปซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วอีฟเห็นกะเทยตัวเบ้อเริ่มสองคนขโมยขนตาปลอมแบบฮาร์ดคอร์มาก เพราะโกยเททั้งแผงยัดลงถุงหูหิ้วแล้วเดินออกไปเชิ่ดๆ นี่ล่ะวันแรกในแอลเอ

แล้วเราก็กลับโรงแรมตอนห้าโมง แล้วผมก็นอนเล่นมือถือแล้วเผลอสลบยาวจนตีห้า พลาดการนัดเจอกันครั้งแรกของชาวคณะคอนเวิร์สทั้งสี่สิบคนจนได้ หวังว่าเขาคงไม่มีการเช็คชื่อหรอกนะ ตอนที่ผมเขียนอยู่นี้คือหกโมงเช้า และผมไม่รู้จะทำอะไร พยายามจะนอนอีกรอบก็ไม่หลับแล้วเพราะตอนนี้เมืองไทยคือบ่ายสาม

เมื่อกี้ลงไปสูบบุหรี่หน้าโรงแรม เช้านี้อากาศหนาวประมาณแต่งตัวกำลังสวย ตอนเอาเท้าขยี้ก้นบุหรี่ก็พบว่าดาวบนฟุตปาธหน้าประตูโรงแรมของเราคือฮอลลี่ ฮันเตอร์ ผมเคยชอบเธอมาก แต่นี่ไม่เห็นเธอเล่นหนังมานานมากแล้ว  อ้อ! โรงแรมเราอยู่ใกล้สตูดิโอของ Jimmy Kimmel ด้วย ไม่แน่ในหกวันจากนี้ ผมอาจโดนรายการเขาสัมภาษณ์ตามถนน แล้วผมก็จะกลายเป็นคนดัง ได้เป็นเพื่อนกับเทเลอร์ สวิฟต์


DAY 2 PART II : Venice Beach


ใครสักคนยื่นให้ผมดูดที่สวนริมสระน้ำโรงแรมช่วงมื้อเช้า วูบที่รับมาผมก็มองซ้ายระแวงขวาตามความเคยชิน แต่พอมันมาอยู่ตรงหน้าระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าที่แอลเอมันเสรีแล้วนี่! ความรู้สึกอิสระเฉียบพลันทำให้กลิ่นของมันพลันหอมสดชื่นราวนอนราบอยู่บนพื้นหญ้าชื้นน้ำค้างยามเช้า

แล้วเมื่อเช้านี้ผมก็ได้เจอแก๊งคอนเวิร์สจากนานาประเทศพร้อมหน้า เป็นเวลาหกวันที่เราจะอยู่ด้วยกันเป็นก้อนแบบนี้ น้องๆ Converse X ทั้งยี่สิบคนจากประเทศต่างๆ ดูจะจูนกันติดในทันที ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะเป็นโจทย์ที่คอนเวิร์สให้แต่ละประเทศคัดเด็กวัยรุ่นที่มีเคมีตามที่กำหนด คือมีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีสไตล์ที่ชัดเจน มีความคิดสร้างสรรค์ น้องกลุ่มนี้จึงมีทั้งดีเจ แร็ปเปอร์ แดนเซอร์ กราฟิกดีไซน์เนอร์ ดิจิตัลดีไซน์เนอร์ ของไทยเราก็ไอ้น้องแดนและน้องอีฟ นักดนตรีและช่างสัก น้องๆ ทั้งหมดนั่งอยู่ฝั่งโน้นของสระว่ายน้ำ แสงแดดยามเช้าส่องพวกเขาที่กำลังสนุกสนานกับการทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ผมนั่งยิ้มเผล่ในเก้าอี้หวาย นั่งมองดูพวกเขาอยู่ตรงนี้อย่างอารมณ์ดี มิตรภาพยามเช้ามันช่าง…งดงาม…เบาบาง…และล่องลอย


วันนี้เด็กครึ่งหนึ่งต้องไปถ่ายแฟชั่นที่ไหนไม่รู้ ส่วนเด็กอีกครึ่งที่เหลือกับพวกสื่อ ทีมงานเขาพาไปเที่ยวทะเล! ทะเลที่นี่สวยมาก หาดกว้างและยาว คลื่นใหญ่น่าเล่นน้ำ แต่เสียดายวันนี้มันครึ้มและหนาวไปหน่อย แต่เดินเอ้อระเหยบนถนนเลียบหาดเพลินดี ได้กลิ่นปุ๊นโชยมาเป็นระยะๆ แหม่…การสามารถดูดปุ๊นในที่สาธารณะแบบไม่ต้องงึมงำหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไปนี่มันรู้สึกดีจริงๆ


แต่จากย่านฮอลลีวูด บูเลอวาร์ดจะไปถึงชายหาดนี่ก็ไกลพอดู คือเมืองนี้มันใหญ่และกระจายมาก จะไปไหนทีต้องเผื่อเวลาเดินทางอย่างน้อย 30 นาที ตอนรู้ว่าจะได้ไปทะเลก็ดี๊ด๊า แต่พอคนบนรถบอกว่าขับไปไม่นาน ‘แค่ประมาณชั่วโมง’ ชั่วโมงนึงเนี่ยนะไม่นาน?! จากสี่แยกบางนาไปพัทยาเลยนะนั่น เข้าใจว่าคนที่อยู่เมืองนี้เขาคงชินกับการเดินทางไกลไปไหนมาไหรจนรู้สึกว่าชั่วโมงเดียวมันไม่เท่าไหร่ เอ๊ะ นี่ผมจะบ่นไปทำไมนี่ เพราะในกรุงเทพฯ บางทีวิ่งแค่ห้ากิโลยังใช้เวลาสองชั่วโมงได้เลย


ไม่บ่นแล้ว เพราะพอไปถึงทะเล มันสวยมาก



DAY 4


เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็ได้ไปถ่ายรูปกับป้ายฮอลลีวู้ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เอาจริงก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นขนาดนั้น อยู่ได้ 15 นาทีก็เบื่อเพราะมันก็มีอยู่แค่นั้น

แต่ทุกคนก็สนุกสนานกันดี ผมออกจะชอบวิวฝั่งตรงข้ามป้ายฮอลลีวูดเสียมากกว่า ที่มองลงไปเหมือนอยู่บนดอยเชียงใหม่ ถึงวันนี้ทั้งน้องๆ ทีมงานและสื่อ ได้กลายเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว น้องๆ ดูมีเรื่องคุยกันได้ทั้งวัน ส่วนใหญ่ก็เรื่องดนตรีและอะไรเจ๋งๆ ในเมืองของแต่ละคน น้องแดนของไทยเราได้ซี้ใหม่เป็นไอ้แฮรี่จากนิวซีแลนด์ ที่ไปไหนมาไหนตัวติดกันตลอดจนผมกับอีฟแซวว่ามันเป็นผัวเมียกัน



อย่างหนึ่งที่คุณอาจจะยังไม่รู้ คือตอนนี้รองเท้าคอนเวิร์สเขาเลิกผลิตในไทยแบบฐาวรแล้ว ทุกคู่ที่ขายในร้านทุกร้านตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เป็นอิมพอร์ตทั้งสิ้น


เมื่อเป็นอย่างนี้ จะดูพรีวิวคอลเล็คชั่นใหม่ มันก็ต้องไปไกลถึงเมืองนอกแบบนี้ล่ะ เมื่อเช้าเขาพาสื่อไปดูคอลเล็คชั่นที่จะออกสามเดือนต่อจากนี้ ล็อตที่จะมาเดือนมีนาคมนี่ทำผมอ้าปากค้างไปเลยด้วยดีไซน์และวัสุดที่หวือหวากล้าเล่น แต่เขาไม่ให้ถ่ายรูป (โถ่ อุตส่าห์บินมาตั้งไกล) ที่ถ่ายได้คือพวกรุ่นที่จะมาเดือนหน้า อย่างในรูปนี้เป็นการนำลายพิมพ์ของคอนเวิร์สในยุค 70s – 90s มาเล่นใหม่ ผมชอบลายยีราฟ คุณชอบลายไหน?



คอนเวิร์สเป็นแบรนด์ที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูง เพราะใครก็ใส่ได้และใส่กับอะไรก็ได้ แม้ดูเหมือนจะติดดิน แต่ปัจจุบันคอนเวิร์สเป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่มีมูลค่าสูงสุดแบรนด์หนึ่งของโลก ปีที่ผ่านมามีการร่วมงานกับดีไซน์เนอร์ซ่าๆ แห่งยุคทุกเดือน ส่วนปีหน้าจะมีการพัฒนาวัสดุล้ำๆ ซึ่งเดี๋ยวเดือนมีนาคุณก็คงได้เห็นอะไรที่ผมบอกไปแล้วว่าเขาไม่ให้ถ่ายรูป แต่ที่โชว์ได้อีกรูป คือรูปนี้ที่เป็นทางเข้าห้องจัดโชว์คอลเล็คชั่น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่อง แต่สวยดี



แต่รุ่นที่กี๊ดๆ คือรุ่นเน้–> “Golf le Fleur” ที่ออกแบบโดย Tyler, The Creator และเราทุกคนได้กันคนละคู่

คือทริปนี้จะมีเซอร์ไพร์สบนเตียงทุกวัน ตกเย็นสอดคีย์การ์ดเปิดห้องผลัวะเมื่อไหร่ จะต้องได้เจออะไรสักอย่างวางรออยู่บนเตียง รุ่นนี้ผมชอบเพราะมันดูเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก ตอนไปที่เฟสติวัล คอนเวิร์สเขาก็มีเต๊นท์ใหญ่เปิดตัวรองเท้ารุ่นนี้ ด้านนอกคนต่อคิวกันยาวเลย ส่วนด้านในเขาก็ตกแต่งเหมือนโกดังจำนำข้าว มันต้องได้แรงบันดาลใจมาจากเกษตรกรไทยแน่ๆ เลยว่ะ ผมว่า  และเนื่องจากรองเท้ารุ่นนี้สัมผัสมันเลอค่ามาก ผลก็คือ วันรุ่งขึ้นไม่มีใครกล้าใส่ไปเฟสติวัลเพราะกลัวเลอะ น่าสงสารคนแจก 555



มีช่วงหนึ่งในทริปนี้ที่ผมชอบมาก คือเขาให้ไปฟังทอล์คกับสองศิลปิน ลี สปีลแมน ที่ทำแบรนด์สเก็ตชื่อ Babylon อีกคนคือ Curtains นักออกแบบและนักดนตรีฮิปฮอป 

ทั้งคู่มาคุยเรื่องการสร้างแบรนด์และการทำ collaboration (การร่วมออกแบบกับแบรนด์อื่น) ซึ่งเคอร์เทนส์สรุปได้ดีในเรื่องของการเลือกทำ collaboration เขาบอกว่า โลกนี้ไม่ต้องการ collaboration อีกแล้ว ถ้ามันเป็นแค่การเอาชื่อไปแปะไว้ด้วยกันเฉยๆ ไม่ได้เกิดความสร้างสรรค์อะไรที่ทำให้โลกหมุนไปข้างหน้า



เวลามีแบรนด์ใหญ่มาชวนร่วมงาน เคอร์เทนส์ให้พิจารณาสามข้อ 1. คุณอยากคุยกับเขาหรือเปล่า –อันนี้เป็นเรื่องความเคมีตรงกัน ดูน่าจะเป็นคนแบบเดียวกัน เพราะถ้าแค่ตกลงทำเพราะอยากได้ตังค์โอกาสเกลียดกันตอนหลังจะสูง รวมถึงเกลียดงานตัวเองที่ทำไปด้วย 2. อย่าทำงานกับคนที่มีอะไรคล้ายๆ กัน เพราะถ้าสกิลของคุณและเขาพอๆ กัน มันก็ไม่เกิดอะไรใหม่ ให้เลือกทำงานกับคนที่มีสกิลที่คุณไม่มี หรือคุณมีสกิลที่เขาไม่มี 3. เวลาจะตัดสินมาตรฐานของสิ่งที่คุณทำร่วมกัน ให้คิดก่อนปล่อยออกไป ว่างานมันจะยังมีคุณค่าอยู่หรือเปล่าเมื่อคุณแยกย้ายกันแล้ว ซึ่งหลักๆ คุณค่าของมันก็เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่คุณแชร์ร่วมกัน อย่าง Tyler, the Creator มักจะพยายามหาอะไรที่อีกฝ่ายบอกว่า “แบบนี้ทำไม่ได้” แล้วทำมันให้จนได้ 



ส่วนลี สปีลแมน บอกว่า ถ้าจะทำแบรนด์เสื้อยืด เดี๋ยวนี้ลายพิมพ์สวยๆ ใครก็ทำได้ แต่ในยุคนี้ สิ่งที่ต้องมีคือบรรยากาศของแบรนด์ การห้ความสำคัญกับ community ซึ่งในที่นี้แปลเป็นไทยได้ว่า “กลุ่มคนที่มีความรสนิยมเหมือนกัน” เขาเป็นชาวพังก์มาก่อน การ DIY ทำมือเป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอดและรักษาไว้ ลีต้องการมีส่วนในการเลือกทุกอย่าง ตั้งแต่เนื้อผ้า แพทเทิร์น ยันกระดุม และร้านของเขา ถ้าคุณเป็นคอเดียวกัน ไม่ต้องซื้อก็เข้ามานั่งเล่นนั่งคุยได้ 



ไม่เหมือนกรุงเทพฯ ที่ขี้เกียจๆ ก็ยังอาจจะดังได้ ผมเดาว่าเมืองปราบเซียน แข่งขันกันสูงไปทุกเรื่องอย่าง LA เรื่องการรู้ว่าคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กันอยู่ที่ไหนบ้างคงสำคัญมาก มันไม่ใช่เมืองที่โซโล่แล้วจะรอดง่ายๆ การจับตัวกันกลุ่มก้อน ช่วยกันผลักดันไอเดียของคนในแก๊งเป็นเรื่องจำเป็น อย่าง Tyler เอง ตอนที่เขาเพิ่งเริ่มทำเพลงตอนอายุ 19 กลุ่มของเขาก็มี A$AP Rocky, The Internet และชาวฮิปฮอปต่างๆ ที่ตอนนี้ดังกันหมดแล้ว ที่ดังก็เพราะช่วยกันดันไปมา อย่างเฟสติวัลนี่ก็ดูเหมือนจัดขึ้นเพื่อเชียร์วงเพื่อนๆ กัน

ในตอนจบ ลีย้ำว่า เมื่อเราไปถึงจุดที่เราต้องการแล้ว สิ่งที่ควรทำ คือพัฒนา community ของตัวเอง ส่งเสริมซีนที่คุณเคยเป็นส่วนหนึ่ง



DAY 5 : Hip Hop Overdose


Tyler นี่มันก็เก่งนะ อายุแค่ 28 แต่มีเทศดาลดนตรีขนาดห้าหมื่นคนเป็นของตัวเองแล้ว ครั้งนี้จัดเป็นปีที่เจ็ด แสดงว่าเขาทำมาตั้งแต่อายุ 21 วันก่อนพวกเราได้เจอและทักทายเขาแป๊บนึงที่ร้าน GOLF ของเขาย่านแฟร์แฟล็ก (ตัวจริงสูงกว่าที่คิด น่าจะถึง 190) ในวันที่แบรนด์เปิดตัวคอลเล็คชั่นล่าสุด เนื่องจากคอนเวิร์สเขามีความสัมพันธ์แนบแน่นกับไทเลอร์ พวกเราเลยได้สิทธิ์ไปช้อปปิ้งกันตอนสิบโมง ก่อนที่ร้านจะเปิดตอน 11 โมง แต่ผมก็ไม่ได้ซื้ออะไรเพราะเช้านั้นกำลังหงุดหงิดที่เน็ตไม่ติด (เหตุผล random มาก) ออกมาเดินเล่นแถวหน้าร้าน โอ้โห สินค้ามันฮิตขนาดวัยรุ่นต่อคิวรอร้านเปิดกันยาวเหยียด วันนั้นเป็นวันศุกร์ มันไม่ไปโรงเรียนกันรึ



ไทเลอร์โผล่มาเจอกับพวกเราแป๊บเดียวมากๆ แต่คนที่อยู่กับเราทั้งวันจนมื้อเย็นคือ Boy Plabo ที่เมื่อเย็นวานไอ้แดนเขาเพิ่งไปดูคอนเสิร์ต ผมได้คุยกับเขานิดนึง ซึ่งเขาบอกว่าจะมาเล่นเมืองไทย (เล่นไปแล้วเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา) ผมก็แนะนำให้ไปเที่ยวนี่นั่นตามประสา แต่เขาบอกว่าคงไม่มีเวลา เพราะทัวร์ 9 ประเทศภายใน 12 วัน ผมนับนิ้วคำนวนได้ว่าอันนี้คือทัวร์ชะโงกของแท้ ลงเครื่อง-เล่น-ขึ้นเครื่อง นึกแล้วเหนื่อยแทน


Boy Plabo


ถึงตอนนี้เราสี่สิบคนเป็นครอบครัวกันหนึบหนับ คุ้นเคยกันขนาดที่ว่าน้องจากโปแลนด์มาเม้าพี่สาวตัวเองให้ผมฟังทำไมไม่รู้ แล้วแปลกดีที่ผมก็สนใจฟัง คำฮิตติดปากของทริปเราคือคำว่า “อีดอก” เผยแพร่โดยแบรนด์เมเนเจอร์ของคอนเวิร์สฟิลิปปินส์ นางเป็นกะเทยชื่ออาวี่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคนไทยที่ไหนไปเสี้ยมสอนไว้ แล้วนางก็เอาไปสอนคนอื่นอีกที แล้วทริปนี้ทุกชาติก็พูดคำว่าอีดอกสำเนียงไทยชัดถ้อยชัดคำเชียว ผมเลยเผยแพร่วัฒนธรรมไทย สอนให้อาวี่พูดคำว่า “อีกะหรี่” ไปอีกคำ แต่ทริปดันจบลงก่อนจะได้เป็นคำฮิต



ถ้ามาแอลเอตอนนี้คุณจะหนีดนตรีฮิปฮอปไม่พ้น บางทีมีแม้แต่ในห้องน้ำ แล้วเพลย์ลิสต์บนรถบัสของเราก็เป็นฮิปฮอปทั้งหมด พอผ่านไปสามวัน ผมเริ่มมีอาการฮิปฮอปโอเวอร์โดส ตกดึกถึงต้องเปิด Interpol ยัดหู นอนมองเพดานปลอบใจตัวเองว่าร็อคยังไม่ตาย



แต่แดนตั้งข้อสังเกตว่าเพลงร็อคกำลังจะกลับมาแล้ว ดูจากพวกโปสเตอร์เทศกาลดนตรี ที่ขนาดตัวอักษรคือดรรชนีชี้ความดังของวง และเฟสติวัลนี้แม้โปสเตอร์จะไม่ได้เรียงแบบตัวอักษรใหญ่ไปเล็ก แต่วงร็อคก็เริ่มได้ขยายป๊อยต์แล้ว ก็น่าจะเป็นทฤษฏีที่ถูกต้อง เพราะผมจำได้ว่าช่วงใกล้ๆ ปี 2010 ถ้ารายชื่อวงในโปสเตอร์เฟสติวัลมีทั้งหมด 10 บรรทัด ห้าบรรทัดแรกคือวงร็อค ส่วนวงฮิปฮอปจะอยู่ประมาณบรรทัดที่ 6 ตอนนี้ทุกอย่างกลับกัน แต่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คิวดนตรีที่ฮิตต่อจากฮิปฮอปมักเป็นร็อคหรือพังก์เสมอ แต่รอบนี้ร็อคกลับมาช้าเพราะดันโดน EDM แซงคิวเสียก่อน

DAY 5 : Camp Flog Ngaw



ผมไม่เคยต่อคิวซื้อเบียร์นานขนาดนี้มาก่อน กว่าจะได้แดกแต่ละแก้วยืนต่อคิวอยู่ครึ่งชั่วโมง ถ้าใครคิดจะเลิกเหล้าก็ให้มาลองต่อคิวที่งานนี้ แต่ครึ่งชั่วโมงนี้ถือว่าน้อยแล้วนะครับ เพราะบัตรที่เราได้เป็นบัตรโซน VIP ที่คนน้อยกว่าด้านนอก ด้านนอกนี่คิวยาวคดเคี้ยว กว่าจะได้เบียร์สักแก้วงานก็คงเลิกพอดี



งานนี้ก็เลยไม่ค่อยไม่คนเมา อันนี้ก็ไม่ใช่เพราะคิวยาวอย่างเดียวหรอก แต่เพราะกฏหมายอเมริกาเขาสูบบุหรี่กินเหล้าได้ตอนอายุ 21 มีการตรวจบัตรเคร่งครัด แต่คนในเฟสติวัลเกือบครึ่งอายุต่ำว่านั้น นอกจากนี้กฏหมายเมาแล้วขับก็เคร่งครัด แล้วคนแทบทั้งงานก็ขับรถ ทั้งหมดนี้จึงทำให้มันเป็นเฟสติวัลที่มีมีกิจกรรมเดียวคือดนตรี (สามเวที) ไม่มีเต๊นท์หรือบาร์บ้าๆ บอๆ สำหรับคนที่ไม่ได้อยากจะดูวงตลอดเวลา จริงอยู่ว่ามันมีเครื่องเล่นอยู่ทั่วไป แต่ก็คิวยาวพอกับเบียร์



เราก็เลยดูวงกันตลอดเวลา ก็เป็นฮิปฮอปเกือบทั้งหมด ศิลปินหลายคนมาแบบวันแมนโชว์ คือตัวคนเดียวกับไมค์หนึ่งอัน แต่เวทีหลักมันใหญ่มาก จนบางคนก็เอาไม่อยู่ หนึ่งในนั้นคือ Post Malone และ A$AP Rocky ที่พีคอยู่แค่สามเพลงแรก จากนั้นพลังเริ่มไม่พอบิ๊วมวลมหาประชนตรงหน้า นาทีนี้พร็อบหรือวิชวลก็ช่วยอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะสุดท้าย การแสดงคนเดียวไมค์เดียวบนเวทีแบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการร้องคาราโอเกะบนเวทีอันเวิ้งว้างต่อหน้าคนสามหมื่นคน โชว์จึงจบไปแบบอึนๆ ผมเลยถูกใจวงที่มาครบเครื่อง มีนักดนตรี มีเครื่องดนตรี อย่าง Ms. Lauren Hills ในตำนาน ที่เก่งและสง่างามเหลือเกิน อีกคนที่ดูแล้วรักเลยคือ Jorja Smith ส่วนไอ้วงร็อคๆ ที่อยากดูเขาเอาไว้ตอนบ่ายสอง ซึ่งไปไม่ทันทั้งสองวัน



อย่างไรก็ดี มันเป็นเฟสติวัลที่ไลน์อัพน้อย แต่มีไดเร็คชั่นชัดเจน ไม่ใช่ใส่ทุกสิ่งอย่างเพื่อพยายามเอาใจคนทุกแนว ส่วนใหญ่วงที่มาเล่นก็เป็นเพื่อน Tyler, the Creator นั่นล่ะ ซึ่งก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าผมมีเพื่อนดังระดับนี้เยอะขนาดนี้ ผมก็จะตั้งเวทีเก็บตั๋วให้คนมาดูวงเพื่อนๆ ของผมแบบนี้

เวลาไปเฟสติวัลผมชอบดูคน แล้วคนงานนี้ก็แต่งตัวกันสตรีทจี๊ดจ๊าดเหลือเกิน ถ้าหนังสือชีส ลุคเกอร์มาเก็บภาพวัยรุ่นที่นี่ ก็จะมีภาพพอใช้ไปอีกถึงกลางปีหน้า เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปคนในงานมาเลย เพราะมัวแต่ต่อคิวซื้อเบียร์นี่ล่ะ! แต่ระหว่างรอเบียร์ก็ฟังวัยรุ่นเมกันเขาคุยกัน เด็กเมกันมีบุคลิกวิธีพูดจาแบบที่เห็นในหนังวัยรุ่นเมกันเลย “โอ้พระเจ้า เมแกน! ดูรูปนี้สิ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไมเคิล จะไปเดตกับยัยหัวฟูนั่น จริง-จริง!” “อะไรนะ! แอนนี่ เธอล้อฉันเล่นใช่มั้ย? ไมเคิล สมิธ กับยัยเมดิสันน่ารำคาญนั่นน่ะนะ?! ไหนดูซิ…พระเจ้า!” — ประมาณนี้แหละ อ่านแบบใส่อารมณ์เอาเอง



เมื่อมากับรองเท้า เราก็ต้องสำรวจเทร็นด์รองเท้ากันหน่อย วัยรุ่นเมืองนี้ใส่คอนเวิร์สกันเห็นเยอะทีเดียว แต่คอนเวิร์สกับวัยรุ่นอเมริกันก็เป็นของคู่กันมาตั้งแต่ยุคดนตรีกรันจ์อยู่แล้วผมเลยว่าไม่แปลก

แต่ที่ผมว่าแปลกเพราะผิดคาด คือไม่ค่อยเห็นคนใส่รองเท้าทรงบวมๆ เลย ทั้งที่เมืองนี้คือเมืองฮิปออป และงานนี้ก็งานฮิปฮอป แม้แต่นักดนตรีบนเวทีก็ไม่ค่อยเห็นใครใส่รองเท้าอ้วนๆ แล้วผมก็มีภาพจำมาตลอดว่าฮิปฮอปต้องใส่รองเท้าบวมๆ ฤาเทร็นด์สนีคเกอร์จะกลับมาเป็นทรงสลิมเบสิคแล้ว

เฟสติวัลเลิกห้าทุ่มวันอาทิตย์ แล้วพอเช้าวันจันทร์ เราก็กลับบ้าน



วันนี้ที่มาเรียบเรียงโน้ตที่จดไว้เพื่อเขียนเรื่องนี้ ว่าผมจะอธิบายแอลเอว่าอย่างไรดี จู่ๆ ผมก็นึกถึงปารีส ผมคิดว่าเวลาเดินอยู่ในปารีสคุณจะรู้สึกเหมือนอยู่ในหนังคลาสสิคขาวดำ ในขณะที่แอลเอ คุณจะรู้สึกเหมือนอยู่ในละครทีวีช่วงบ่าย แบบที่ตัวละครเล่นใหญ่ แม้แต่ตัวประกอบที่เดินเป็นวุ้นอยู่ข้างหลังก็เล่นใหญ่ขโมยซีน ทีมพร็อพทีมฉากก็สะเปะปะเหมือนทำงานกันแบบไม่ได้อ่านกรุ๊ปไลน์ จะว่าไปก็คล้ายๆ กรุงเทพฯ นี่หว่า

ตอนนี้ผมไม่ได้คิดถึงตึกรามบ้านช่องหรือเฟสติวัลในแอลเอ ผมอยู่สั้นเกินจะรู้จักและหลงรักเมืองที่ใหญ่ขนาดนั้น แต่ผมคิดถึงบทสนทนากับเพื่อนใหม่จากต่างเมืองทั่วโลกในช่วงเจ็ดวันนั้น บทสนนาบนถนน ในรถ ในโรงแรม ที่ริมสระ ที่ชายทะเล ที่คิวรอเบียร์ ที่ร้านเบอร์เกอร์ ความทรงจำที่พอคิดถึงแล้วให้รู้สึกเหมือนที่โฮลเด้น โคลด์ฟิลด์พูดไว้บรรทัดสุดท้ายของ The Catcher in the Rye

Don’t ever tell anybody anything. If you do, you start missing everybody.


 

Comments


bottom of page