top of page
  • Black Facebook Icon
  • Instagram

Welcome to the world where truth doesn't hurt

ความเรียง: ฤดูร้อนใจ โดย วรพจน์ พันธุ์พงศ์




คอนเวิร์สร่วมกับ Dudesweet นำเสนอผลงานช่างภาพรุ่นใหม่สามคน โดยให้แต่ละคนใช้เรื่องสั้นจากนักเขียนชื่อดังของไทยเป็นโจทย์ตั้งต้นว่าพวกเขาจะใช้จินตนาการตีความตัวหนังสืออกมาให้เป็นภาพถ่ายอย่างไร เรื่องสั้นสามเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อโปรเจ็คต์นี้โดยเฉพาะ แต่งโดยปราบดา หยุ่น, 'ปราย พันแสง และ วรพจน์ พันธุ์พงศ์

Photographer : Chavit Mayot @bookythestrider Models Napatsorn Montamkarn @neptxmon Smith Phiromsank @Montemith Assisstant Kamonphan Amornmaekin @maeimayy

ฤดูร้อนใจ

ความเรียง วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ภาพโดย ชวิชญ์ มายอด



ไม่มีฤดูร้อนปีไหนร้อนไปมากกว่านั้น ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ภายใต้อุณหภูมิเหือดระห่ำเท่าไร ทบทวนดูโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พบว่าไม่มี ไม่มีและไม่มีวันลืม

23 เมษายน 2014 คล้ายเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งในฤดูร้อน ผมตื่นนอนสายๆ ไม่เร่งรีบ นัดสิบเอ็ดโมงที่ร้านกาแฟหน้าโรงแรมโฮเทลเดอม็อก แถวแยกวิสุทธิ์กษัตริย์ ไม่ควรต้องใจร้อน บ้านอยู่แยกบางพลัด ใช้เวลาเดินทางสักครึ่งชั่วโมงก็ถึง กรุงเทพฯ ย่านนี้การจราจรนับว่าพอยังเป็นมิตร หมายถึงในห้วงยามที่ไม่มีกิจกรรมพิเศษ ทั้งทางด้านการเมือง และเหนือกว่าการเมือง

นักเขียนหัวฟู แว่นดำ วีรพร นิติประภา มากับสามี

กินกาแฟ (ผิดภาษาไทย แต่เหมือนปราบดา หยุ่น ผมชอบคำนี้ มันดูเป็นเสือมากกว่ากิริยา ‘จิบ’ หรือ ‘ดื่ม’) ทักทาย คุยสัพเพเหระสักพัก ตามประสาแหล่งข่าวที่พอคุ้นเคย เราเดินข้ามถนนไปหามื้อกลางวันกินกันที่ร้านเป็ดย่างพูลสิน จบสิ้นเรื่องอาหารแล้ว แยกย้ายกันขึ้นรถคนละคัน วีรพรไปกับโชว์เฟอร์คู่บุญ ผมไปกับช่างภาพ ศุภชัย เกศการุณกุล มุ่งหน้าสู่บ้านหลังหนึ่งริมแม่น้ำนครชัยศรี ฉากและชีวิตที่เราเลือกใช้นั่งทำงานสัมภาษณ์ ล้อไปตามท้องเรื่อง ‘ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต’ ซึ่งวีรพรเขียนวาดขึ้นด้วยภูมิประเทศเขตพิกัดนี้

ตัวละครในนวนิยายมีลมหายใจที่ไหน หากเป็นไปได้ เวลาทำงาน เวลาจะสื่อสารสนทนากับนักประพันธ์ เราอยากสัมผัสสูดกลิ่นอยู่ในบรรยากาศใกล้เคียงกัน

ใช่, นี่เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งของนักสัมภาษณ์ สื่อมวลชนอิสระคนหนึ่ง ถึงเวลางานก็มาทำงาน ไม่เคยคาดคิด ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ว่ามันจะเป็นวันที่ร้อนที่สุด

ราวบ่ายสองโมงเศษๆ เพื่อนสนิทของผม ไม้หนึ่ง ก.กุนที ถูกยิงเสียชีวิต

ผมขออนุญาตวีรพร หยุดพักการสัมภาษณ์

มีสายเข้าจนรับไม่ไหว หลังรู้ข่าวการจากไปของเขา

เพื่อน น้อง พี่ คนนั้นคนนี้โทร.เข้ามาตลอดเวลา เช่นเดียวกับข้อความเป็นห่วงเป็นใยที่ไหลเข้ามาเป็นสายน้ำ

“ให้พี่หนักแน่น พี่คงรู้ข่าวแล้ว” “พี่อยู่ในห้องฉุกเฉินกับพี่ไผ่หรือเปล่า ตาลอยู่ที่ รพ.เมโยแล้ว” “เสียใจด้วยนะครับ เรื่อง..” “มีอะไรให้โทร.หา หรือส่งเมลมาได้เสมอ เราอยู่ที่เดิม” “พี่โอเคมั้ย หนูเจ็บ” “พี่ยังโอเคอยู่นะ/ เทคแคร์/ สะเทือนใจเกินไป/ อุกอาจเกินไป” “พี่ ไม่เป็นไรนะพี่ โทร.มาหาได้ตลอดเวลา” “คุณวรพจน์ คุณโอเคมั้ย ดูแลตัวเองมากๆ ด้วยนะ”

ตอนรู้ข่าว ผมทำงานสัมภาษณ์อยู่ริมแม่น้ำนครชัยศรี มันยังไม่แล้วเสร็จ แต่ความตายย่อมมีอำนาจเหนือ ความตายทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและหยุดชะงัก ผมกักขังตัวเองไว้กับแม่น้ำพักหนึ่งแล้วชวนเพื่อนช่างภาพขับรถออกไปหาที่นั่งคุยกัน จากจุดที่อยู่นอกเมือง ผมคงไปหาเพื่อนที่โรงพยาบาลไม่ทันแล้ว เท่าที่เช็กข่าว ค่ำนี้ร่างไร้ลมหายใจก็คงอยู่ที่นั่น รอรุ่งเช้าจึงจะย้ายไปวัดเสมียนนารี

ผมชวนเพื่อนไปนอนนครปฐมสักคืน เขาบอกติดธุระเรื่องลูก ไปไม่ได้ ผมเปลี่ยนเป้าหมายเป็นบ้านเพื่อนอีกคนในกรุงเทพฯ ไม่มีปัญหา เขาอาสาขับรถไปส่ง ผมใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมานานปี แต่คืนนี้ไม่อยากอยู่คนเดียว มันยากที่จะแจกแจงอารมณ์ความรู้สึกตอนนี้ ง่ายที่สุดคือยังไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไร สั้นที่สุดคืออยากอยู่กับใครสักคน คนที่เข้าใจ--แม้ในความไม่เข้าใจของตัวเอง จวนจะห้าทุ่มแล้ว เพื่อนหนุ่มที่รออยู่เปิดประตูบ้านต้อนรับแล้วโอบกอดเบาๆ เขาหาแก้วมารินเบียร์ให้ และนั่งอยู่ในความเงียบ ผมเองก็นานๆ จะพูดอะไรสักที

‘อยู่ด้วยกัน’ อาจจะแค่นี้เอง ง่ายๆ แค่นี้



ท่อนข้างบนนี่คือบางตอนจากความเรียงชื่อ ‘หลังความตาย’ ที่ผมเขียนถึงเพื่อน ในช่วงเดือนแรกที่เขาจากไป

ไม่จบแค่นั้นหรอก ยังมีนี่อีก..

ตื่นเช้า--ทั้งที่นอนใกล้เช้า ปกติผมเป็นคนนอนหลับง่าย หัวถึงหมอนก็หลับ แต่คราวนี้เหมือนมีอะไรค้างๆ นอนตาค้างอยู่อย่างนั้น พอหลับ ก็กลับรู้สึกตัวตื่นเร็วกว่าปกติ เป็นเช่นนี้อยู่นับสัปดาห์ มองเข้าไปในจิตใจตัวเอง ผมยังไม่พบสิ่งใด ไม่มีคำตอบใด ทุกอย่างยังเลือนพร่า ไม่มีแม้สักหยดน้ำตา ไม่มีความปรารถนาจะค้นหาสาเหตุ ติดตามว่าทำไม เกิดอะไรขึ้น คดีความคืบหน้าหรือไม่ ผมยังมองไม่เห็นตัวเอง ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ็บหรือเศร้าแค่ไหน ตั้งแต่ความตายเดินทางมา เวลาส่วนใหญ่ของผมถูกใช้ไปกับเพื่อนฝูงเก่าแก่ที่เดินทางมาไว้อาลัย บางคนไม่ได้พบกันนับสิบปี บางคนมาจากเพชรบุรี บางคนมาจากนครปฐม พลันที่รู้ข่าวพวกเขากระตือรือร้นที่จะมาสั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย ระหว่างเพื่อน มันควรเป็นปาร์ตี้มากกว่า ควรเฉลิมฉลองมากกว่า แต่ก็นั่นแหละ ความจริงกลับกลายเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม

เพื่อนหนุ่มจากอุบลราชธานีจับรถไฟมาร่วมงานศพ เขาเป็นคนหนึ่งที่โทร.หาผมตอนรู้ข่าวใหม่ๆ โทร.มา แต่พูดแทบไม่เป็นภาษา ผมได้ยินแต่เสียงร้องไห้ ดึกดื่นคืนนั้นเขาโทร.มาอีกรอบ มันยังเป็นไปเหมือนเดิมคือผมแทบจับความอะไรไม่ได้เลย เขาเอาแต่ร้องไห้ ร้องเหมือนเด็กผู้ชายที่ความเขินอายเป็นอย่างไร ไม่รู้จัก เรายิ้ม เมื่อเจอกัน เราหัวเราะ เมื่อมีเรื่องน่าขันขำ ล้อเล่นบางเรื่องแม้กับเพื่อนที่นอนอยู่ท่ามกลางหรีดดอกไม้ ล้อแรงๆ ในบางครั้งคล้ายเขายังมีชีวิตอยู่

พยายามกลบเกลื่อนหรือ ?

อาจเป็นไปได้ มันคงเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่ต้องหาวิธีประคับประคอง สร้างอุบายเพื่อรักษาชีวิตไว้ ยิ่งในสถานการณ์ที่เปราะบางที่สุด อ่อนแอที่สุด ผมเชื่ออย่างจริงจังว่ารอยยิ้มของเพื่อนพ้องน้องพี่หล่อเลี้ยงเราไว้ โอบกอดเราไว้ ให้ขาคงความแข็งแรง ให้หยัดยืนตัวตรง เร่งคืนสู่ภาวะปกติ แม้ในเงื่อนไขพิกลพิการ



และนี่ก็ใช่ การเขียนไม่ใช่ทางออก มันเป็นคล้ายประตูหนึ่งที่เราพอจะใช้เดินออกไปมองท้องฟ้า

..

ตั้งแต่เพื่อนตาย ผมใช้ชีวิตเร่ร่อน ย้ายที่นอนไปเรื่อยๆ

โทรศัพท์ไม่อยากรับนัก โดยเฉพาะเบอร์แปลกๆ ไม่ใช่ไม่มีเรื่องพูด ไม่ใช่ไม่อยากตอบคำถาม และไม่ใช่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว ผมเพียงแต่ไม่อยากพูดลวกๆ เร็วๆ พูดตอนนี้ ตอบตอนนี้ กับคนที่กระโจนเข้ามาเร็วๆ และจะรีบไปเร็วๆ

เก็บพิธีกรรม เก็บคำพูดตามสูตรสำเร็จ เอาไปใช้กับเรื่องอื่นเถอะ

ผมไม่แน่ใจนักว่าจะผ่านวันเวลานี้ไปอย่างไร จะนั่งมองน้ำมองฟ้าและปล่อยจินตนาการให้ล่องลอยไร้ขีดจำกัดได้อีกกี่วัน กี่เดือน

ความตาย โดยเฉพาะเพื่อนตาย เพื่อนที่อยู่ด้วยกันมา 25 ปี เพื่อนที่มีแนวคิดในทิศทางเดียวกัน มันทำให้ต้องย้อนกลับมาสำรวจชีวิต หลังความตายไม่ต้องคิดหรอกว่าไปไหน แต่หลังความตายจุดประกายให้ตระหนักว่าก่อนความตายจะเดินทางมาเคาะประตู เราจะอยู่อย่างไร อยู่ให้สมกับที่ยังมีลมหายใจอยู่ อยู่โดยสำนึกรู้ว่าเวลาแห่งชีวิตนั้นแสนสั้น

ความตายของเพื่อน ความตายที่มีคนมาร่วมงานนับหมื่น ความตายที่มีเสียงตะโกนเรียกชื่ออย่างกึกก้อง ร่ำร้องไม่หยุดหย่อน ความตายเช่นนี้--แม้น่าโศกสลด แต่มันกระทบความรู้สึก กระแทกหัวใจคนที่ยังอยู่ เราอยู่เพื่อเสพ หรือเพื่อสร้าง เราดีแต่อวดอ้าง หาข้อแก้ตัว หรือทุ่มเททำการงานสุดความสามารถแล้ว

บางคืนบนโค้งสะพานสระแก้ว ผมพบตัวเองนั่งอยู่ที่นั่น นั่งเพียงลำพัง เพื่อนคนที่ชอบขีดเขียนบทกวีเคยอยู่ด้วยกันที่นี่ ตอนนี้เขาเดินทางไปสู่ดินแดนใหม่ เวลา 45 ปีในโลก ไม่นับว่ามาก แต่เขาได้ทำหน้าที่สูงสุดแล้วเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ ผมพยายามจ้องมองตัวเองว่าเหงาไหม เจ็บปวดไหม ทุรนทุรายไหม

หรือแค้นคลั่งบ้างไหมกับการจากลา ?



ย้อนกลับไปมองตอนนี้ เห็นชัดว่าเหงา เจ็บปวด ทุรนทุราย และแค้นคลั่ง มาครบ มาเต็มๆ

น่าแปลกว่ามาเพียงระยะสั้นๆ คนตายแล้วทำยังไงก็ไม่ฟื้นหรอก ผมลุกขึ้นยืนตัวตรงโดยเร็ว รู้ด้วยว่าถ้าลุกช้า เพื่อนไม่ชอบ อ่อนแอ เพื่อนไม่ชอบ ยามบอบช้ำปวดร้าวที่สุด ยิ่งต้องปรับตัวปรับใจให้ไวที่สุด เสียคนหนึ่งไป คนที่ยังอยู่ต้องเข้มแข็ง ยืนให้ได้ เป็นเสาหลักให้ได้ ความทดท้อฟูมฟายเป็นเรื่องของทารก เพื่อนตาย แน่นอนว่ามีหลายเรื่องแย่ การมองหาแง่ดีจากความตายมันโหดร้ายเกินไป ผมไม่ทำแบบนั้น ผมทำไม่ได้ กระสุนปืนนะไม่ใช่มะเร็ง ฆาตกรรมนะไม่ใช่อุบัติเหตุ มากบ้างน้อยบ้าง เราปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเตาเพลิง สิ่งที่ลงมือทำคือเมื่อมันมาก็เผชิญหน้า สบตา ปะทะ เหมือนฤดูร้อนที่เรามิอาจหลีกเลี่ยง

วัยเด็ก ฤดูร้อนแปลว่าปิดเทอม ไปทะเล ไม่ต้องไปโรงเรียน วัยหนุ่มสาวอาจแปลว่าบิกินี่ ดอกไม้ ความรัก ความหวาน ความสดชื่นแจ่มใส แต่หากผ่านวันวัยมากพอ เราย่อมรู้ว่าฤดูร้อนในนรกมีอยู่จริง มีและเรียงหน้าเข้ามาสิ

ห้าปีผ่านไป ผมมองฤดูร้อนปี 2014 ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง มีสองสิ่งที่ยังอยู่คือคิดถึงและขอบคุณ คิดถึงเพื่อน และเปล่า, ไม่ได้ขอบคุณความตาย แต่ขอบคุณเวลาที่อยู่ร่วมกัน ขอบคุณหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาแนะนำ บอกสอน แลกเปลี่ยน และมอบให้ บางสปิริตของเขาฝังลึกอยู่ในเนื้อตัวของเรา ไม่พรากจาก ไม่แปรเปลี่ยน

ผ่านร้อนบ่อยครั้งเข้าร่างกายคนจะแกร่ง น้ำตายังมี หัวใจยังอ่อนไหว แต่เข้าใจว่ามันมาแล้วก็ไป ร้อนแค่ไหนก็ไม่นิรันดร์

ดอกไม้บานในฤดูร้อน มัวบ่นหรือก่นด่าโลกอยู่ก็ไม่ได้เห็น ย้ายมาอยู่จังหวัดน่านได้สองปีกว่า อยู่กับฟ้ากับดิน กับฤดูกาล สิ่งที่ผมค้นพบอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อร้อนจนถึงที่สุด ฝนจะมา.



เกี่ยวกับช่างภาพ

บุ๊ค- ชวิชญ์ มายอด อายุ 25 ปี มีผลงานให้เราเห็นอยู่บ่อยๆ ถ้าคุณอ่านเว็บหรือเพจ Fungjai ที่เขาถ่ายนักดนตรีเป็นประจำ นอกจากนั้นเขาก็รับจ๊อบถ่ายแฟชั่นให้เพื่อนให้แบรนด์เล็กๆ เป็นบ่อย ตามวิถีช่างภาพฟรีแลนซ์ และเพราะโจทย์ของเขาคือวงดนตรีหรือเสื้อผ้า มาครั้งนี้เราจึงอยากให้เขาลองตีโจทย์ที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน นั่นคือปริ๊นต์เรื่องวั้นเรื่องนี้ออกมา แล้วให้เขาไปตีความว่าจะทำภาพออกมาอย่าไร

พออ่านเรื่องนี้จบแล้วรู้สึกอย่าง? ผู้ใหญ่จังเลย มันผู้ใหญ่มากๆ จริงๆมากๆ ชวนเชื่อโดยไม่ต้องพยายามเหมือนเห็นจริงๆ เป็นวิธีคิดแบบเข้าใจโลกที่เป็นธรรมชาติและไม่ต้องพยายามอะไรเลย ถึงจะตีความได้กว้างแต่เราเข้าใจแก่นได้ทันที ตกใจมากที่มันเป็นโจทย์ที่มาจากคอนเวิร์ส แถมเป็นคอลเลคชั่นซัมเมอร์อีกต่างหาก นี่ไม่ใช่หน้าร้อนที่จัดจ้านหรือดูแฟชั่นแบบที่คิดไว้ตอนก่อนได้โจทย์เลย เลยตื่นเต้น ปกติงานหลักคือถ่ายแฟชั่นแต่รอบนี้พออ่านปุ๊บก็รู้สึกอยากทำอะไรที่ตัวเองไม่ค่อยได้ทำเลยขึ้นมาดื้อๆ มีวิธีคิดในการตีความออกมาเป็นภาพอย่างไร ? จากที่บอกว่าปกติถ่ายแฟชั่นแต่ "ฤดูร้อนใจ" สร้างภาพให้เราเห็นซีนเห็นภาพที่มันดูเป็นเรื่องจริง viewpoint ตอนเราอ่านรู้สึกว่าเราไปนั่งฟังเขาจริงๆ ผมเลยนึกถึงพวก Scene ในภาพยนต์ที่ถูก Capture ออกมา สลับกับฉาก Montage ให้เห็นมู้ด เหมือนดูภาพยนตร์หรือมิวสิควิดิโอที่เป็นบรรยากาศตามที่ตีความได้ ให้เหมือนไล่ดูไปแล้วไล่เหตุการณ์ตามไปได้ หน้าค้นหา ให้ผู้ชมตีความได้หลายแบบ แต่ตอนจบจะทำให้เราเข้าใจในบรรยากาศและบทสรุปในนั้น


댓글


bottom of page