ราชมังคลากีฬาสถาน...
ไม่ไกลแต่ไปยากชิบหาย เมืองบ้าไรไม่มีรถไฟฟ้าหรือใต้ดินไปลงจุดที่คนไปรวมตัวกันทีนึงเป็นครึ่งแสน ผลคือ--ตอนผมออกมาจากที่นั่นหลังสัมภาษณ์เสร็จตอน 6 โมงเย็น รถฝั่งขาเข้าคอนเสิร์ตติดวินาศสันตะโรตลอดเส้นทาง พอมาถึงสถานีแอร์พอร์ตลิงค์ คิวรอแท็กซี่และ stuttle bus ไปสนามกีฬายาวจนคนท้ายแถวไม่มีทางไปถึงคอนเสิร์ตทันสามทุ่มแน่ๆ อยากรู้เหมือนกันว่าวง Coldplay และทีมงานอีกเกือบสองร้อยชีวิตเขาพักกันที่ไหน ที่จะเดินทางไปคอนเสิร์ตได้โดยไม่อกแตกตายคาสภาพรถติดเมืองกรุง สงสัยเขาจะไปเช่าเกสต์เฮาส์รอบๆ สนามกีฬาอยู่กันมั้ง (ห้องพัดลม 400, ห้องแอร์ 600) ตัวคริส มาร์ตินอาจต้องอยู่หรูหน่อยเพราะคนจำได้ แต่สมาชิกสามคนที่เหลืออยู่ที่ไหนก็ได้ เดินถนนไม่มีคนจำได้หรอก อันนี้ไม่ได้เม้านะ ตัวมือกลองกับมือเบสที่ผมไปสัมภาษณ์เขาพูดเองเลย แต่ก็ไม่ได้ถามว่าเขาอยู่ห้องพัดลมหรือห้องแอร์
“อยู่ลอนดอนคุณนั่งรถใต้ดินด้วยเหรอ?” ผมถามมือกลองเพราะเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้บางทีไปไหนมาไหนก็ยังพาลูกขึ้นรถเมล์ รถใต้ดินอยู่ “Absolutely. Yeah!” วิล แชมเปียนตอบ “ไม่มีคนจำคุณได้เหรอ” “นี่แหละข้อดีของการเป็นมือกลอง ในคอนเสิร์ตก็นั่งตีกลองอยู่ข้างหลัง พอวันรุ่งขึ้นออกไปเดินไปเดินมาบนถนนก็ไม่มีใครจำได้หรอก นี่เป็นเรื่องดีสุดยอดเลยนะ” “ผมไม่ได้เป็นคนดังนะ คริสเท่านั้นแหละที่เป็นคนดัง” กาย เบอรี่แมน มือเบสของวงบอก “คริสเดินไปเดินมาในกรุงเทพฯ ไม่ได้หรอกเดี๋ยวโดนรุม ส่วนผมเดินไปไหนต่อไหนก็ไม่มีใคร give a shit” พูดจบก็หัวเราะ 555 ให้ตัวเอง “แต่ผมชอบที่มันเป็นแบบนี้นะ ผมไม่อยากได้ความสนใจในลักษณะนั้น ผมชอบที่อยู่บ้านแล้วจะออกไปไหนก็ได้ จะออกไปซื้อของเข้าบ้านก็ได้ อะไรแบบนั้น คือผมก็อยู่ในวงดังจริงๆ นั่นแหละ แต่ผมไม่ใช่คนดัง นึกออกมะ ซึ่งแบบนี้แหละเพอร์เฟ็กต์แล้ว”
เป็นเรื่องแปลกที่วงระดับ Coldplay ยังทำสัมภาษณ์อยู่ ทั้งที่โปรไฟล์วงก็อยู่ในระดับเดียวกับมาดอนน่า Radiohead หรือ U2 ที่ไม่จำเป็นต้องมีการทำสัมภาษณ์ใดๆ เพราะยังไงคนก็แย่งกันซื้อตั๋วอยู่ดี แต่วงก็ทำด้วยอารมณ์ดี บรรยากาศการสัมภาษณ์เป็นไปด้วยความเพลิดเพลินทั้งเขาและเรา ตอนจบงานนักข่าวทุกคนทั้งในห้องผมและห้องอื่นๆ ล้วนแฮปปี้ ไม่มีเหตุการณ์บิชชี่ใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น ทั้งจากวงหรือทีมงานไทยและฝรั่ง
การสัมภาษณ์แบ่งเป็นสองห้อง สองกลุ่ม แต่ละห้องมีเวลา 15 นาที คริสให้สำภาษณ์ห้องใหญ่ที่เป็นกลุ่มทีวี ส่วนห้องเล็กของเราที่มีแค่สี่คนเป็นกลุ่มแม็กกาซีน (ทั้งกระดาษและออนไลน์) และที่แปลกกว่า Coldplay ยังทำสัมภาษณ์ คือนักข่าวดนตรี 4 คนในห้องเล็กของผม ถ้าไม่นับน้องมิวส์ จาก a day Bulletin (งานนี้เป็นงานสัมภาษณ์วงอินเตอร์ครั้งแรกของเธอ) 3 คนที่เหลือก็ยังเป็นนักข่าวดนตรีหน้าเดิมจาก 15 ปีที่แล้ว สมัยที่ Dudesweet ยังทำนิตยสาร SUPERSWEET และวิ่งรอกแย่งกันสัมภาษณ์วงต่างประเทศ และทุกคนในห้องนี้เคยสัมภาษณ์ Coldplay ไปแล้วรอบหนึ่งเมื่อ 13 ปีก่อน ได้แก่พี่กอล์ฟ ผมทอง (เมื่อก่อนทำหนังสือ POP ตอนนี้อยู่หนังสือ Billboard) และพี่แพท (เคยทำคลื่น Get 102.5 รอบนี้มาสัมภาษณ์ให้ Momentum) 15 ปีแล้วทำไมเรายังมีกันอยู่หน้าเดิมๆ แค่นี้?! พวกเราคิกคักกันว่า “สงสัยเราจะเป็นมือสัมภาษณ์คุณภาพรุ่นสุดท้ายน่ะแก” แต่ในใจคิดว่า “ห่า...ทำมาหากินอย่างอื่นกันไม่เป็นสิไม่ว่า ถึงยังได้เขียนข่าวดนตรีกันอยู่แบบนี้ 5555 เดี๋ยวนี้ใครจะมานั่งอ่านรีวิวดนตรี ในเมื่อโหลดเพลงมาฟังเองก็ได้ แค่ 5 นาทีก็มาทั้งอัลบั้มแล้ว”
พอ กาย เบอรี่แมน มือเบสของวงเดินเข้ามาในห้องเล็กๆ ที่มีเราอยู่กันสี่คนและเราเริ่มสัมภาษณ์ สงสัยผมคงยังคิดเรื่องนี้วนเวียนอยู่ เลยหลุดถามออกไป ผมบอกเขาว่าพวกเราในห้องนี้เคยสัมภาษณ์คุณมาแล้วรอบนึงตอนที่คุณมาเมืองไทยรอบก่อน ตอนนั้นวงคุณยังดังระดับกลางๆ ส่วนเราเพิ่งเริ่มงานกันใหม่ๆ
“แต่ตอนนี้พวกคุณดังระดับโลกไปแล้ว” ผมว่า “แต่ทำไมเรายังจนกันอยู่เลยอ่ะ คุณมีอะไรจะแนะนำนักข่าวดนตรีมั้ย?” “อืม...” กายคิด “ให้รวยยังไงนี่ไม่รู้นะ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าวงเราโชคดีตรงที่เราสร้างฐานแฟนเพลงของเราตั้งแต่สมัยที่ธุรกิจดนตรีมันยังฟู่ฟ่า ขายซีดีได้เยอะแยะ เงินในธุรกิจดนตรีก็เยอะมาก แต่ยุคนี้ โดยเฉพาะวงใหม่ๆ ผมว่ามันยากมากๆ เลย นักดนตรีว่ายากแล้ว นักข่าวดนตรียิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะวงดนตรีอย่างน้อยก็รู้ว่าไปเล่นแล้วจะได้เงินหรือเปล่า แต่นักข่าวไปทำข่าวนี่ไม่ได้เงินแน่ๆ” “งี้คำแนะนำของคุณก็คือให้เลิกสินะ” ผมแหย่ “โน...ไม่ใช่ให้เลิก!” กายยิ้ม ผมนึกออกแล้วว่าตัวจริงเขาหน้าเหมือนใคร เขาเหมือนไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ “พูดงี้แล้วกัน โดยส่วนตัวผม สิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดในชีวิตคือการรู้สึกลุ่มหลงกับอะไรสักอย่าง อย่างผมก็ลุ่มหลงในดนตรี ผมเลยมีเลเยอร์ในชีวิตที่ให้ทุ่มเทและมันทำให้ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วรู้สึกตื่นเต้น และถ้าผมต้องเสียความรู้สึกเหล่านั้นไป มันจะเป็นการสูญเสียที่แย่ที่สุดยิ่งกว่าเสียเงินทองซะอีก การต้องเสียความรู้สึกของการตื่นขึ้นมาแล้วได้ตื่นเต้นกับสิ่งที่คุณรัก”
โอ้ว...ช่างเป็นคำแนะนำที่ซาบซึ้ง ราวคัดลอกมาจากหนังสือรวมคำคมบนแผงหนังสือข้างตู้ไอติมในเซเว่นอีเลฟเว่น แต่ก็เอาล่ะ ขอบคุณมาก
มาอ่านสัมภาษณ์กันดีกว่านะครับท่านผู้อ่านที่รัก
Guy Berryman - Bass
ตอนนี้ผมกำลังฝึกเล่นกีตาร์อยู่ เพลงไหนของ Coldplay ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ที่สุด Yellow ไง
แต่ Yellow ใครๆ ก็เล่นอ่ะ ตอนนี้ผมเล่น Don't Panic แหละ Don't Panic ก็ง่าย แต่มาถามอะไรผมเนี่ย ผมเล่นเบส หน้าตามันคล้ายๆ กัน แต่มันเครื่องดนตรีคนละประเภทรู้ป่าว
คุณเริ่มเล่นดนตรีตอนอายุเท่าไหร่ และฝึกจากเพลงใคร เริ่มตอนอายุ 12 ก็เริ่มจากพวกเพลง Motown, James Brown แล้วก็พวกเพลงฟังก์ เพลงโซลล์ พวกอะไรที่ไลน์เบสมันชัดมากๆ
งั้นเพลงไหนของ Coldplay ที่เหมาะสำหรับคนเพิ่งหัดเล่นเบส เบสของ Yellow ก็ง่ายอีกเช่นกัน
คุณคิดจะกลับไปทำเพลงแบบอัลบั้ม Parachutes อีกสักรอบไหม เหมือนกับกลับไปสู่รากของวงอีกครั้งไรงี้ เป็นคำถามที่ดี แต่ตอนนี้เราทดลองอะไรมากมายกับเพลงป๊อปกันอยู่ ทั้งผู้จัดการโปรเจ็คต์จากสายเพลงป๊อป ร่วมงานกับนักดนตรีป๊อป ที่จริงเราก็สนใจเรื่องทำเพลงที่มีความเป็นอะคูสติค และเน้นการเอามาใช้แสดงสด บางทีอาจจะไม่เหมือนกับ Parachutes เพราะอาจจะเรียบกว่าและไม่ได้ใช้ความป๊อปเป็นตัวนำ ก็น่าสนใจนะ เป็นไปได้ว่าเราจะลองทำอะไรแบบนั้นเร็วๆ นี้
พูดถึง Parachutes ตอนอัลบั้มนั้นออกมาผมฟังที่เมืองไทยแล้วคิดว่าทำไมมันทำดนตรีได้หดหู่ห่อเหี่ยวดีจัง พอปีต่อมาผมได้ไปอังกฤษครั้งแรก พอเจอสภาพอากาศที่นั่นแล้วฟังอัลบั้มนั้นไปด้วยก็คิดว่า "เออ เข้าใจแล้ว ว่าทำไม Coldplay ถึงทำเพลงแบบนี้ได้" คุณว่าสภาพอากาศมีผลต่อดนตรีไหม ก็เป็นไปได้นะ (คิด) ผมก็ไม่รู้คำตอบหรอก อังกฤษมีเพลงหม่นหดหู่เยอะมาก แต่คนอังกฤษก็หดหู่พอกัน ผมเลยไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะอากาศหรือเปล่า แต่บางทีไอ้ดนตรีหม่นๆ นี่ก็เจ๋งอยู่นะ เคยฟัง Nick Drake หรือเปล่า เพลงเขาหม่นที่สุดเท่าที่จะหม่นได้ แต่มันสุดยอดมาก
เพลงรุ่นใหม่ๆ ของคุณมีความเป็นดนตรีแด๊นซ์เยอะอยู่ คุณยังปาร์ตี้กันอยู่หรือเปล่า ไม่ค่อยแล้วล่ะ (หัวเราะ) เราชักจะแก่เกินวัยปาร์ตี้กันแล้ว ผมชอบตื่นเช้าสบายๆ มากกว่า แต่เมื่อก่อนเราก็หนักกันอยู่
การเลือกเพลงที่จะใช้เล่นในคอนเสิร์ตมีหลักการยังไง หลักๆ เราก็เลือกเพลงที่เราคิดว่าคนดูอยากฟัง บางทีอาจเลือกเพลงหน้า B หรือเพลงที่คนไม่ค่อยรู้จักบ้าง เพราะมันสนุกเวลาได้เล่น แต่ทำแบบนั้นมันก็เอาตัวเองเป็นหลักไปหน่อยเพราะเราก็รู้อยู่ว่าคนดูส่วนใหญ่เขาไม่รู้จักเพลง จริงอยู่ว่ามันมีคนที่รู้จักเพลงเราที่นอกเหนือจากเพลงที่ตัดซิงเกิ้ลแน่ๆ แต่มันเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะทำคอนเสิร์ตที่ทำให้ผู้คนสนุกสนานกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้น ยิ่งคนร้องตามได้มากเท่าไหร่มันก็ยิ่งดี และนั่นเป็นสิ่งที่เราเลือก เราไม่ได้เลือกตัวเองเป็นหลัก แต่เลือกคนดูเป็นหลัก
เวลาแต่งเพลง คุณรู้ไหมว่าเพลงไหนจะฮิต รู้นะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงแต่เราก็รู้อ่ะ บางทีฟังโครงคร่าวๆ ไม่กี่วิก็รู้แล้วว่าเพลงนี้มีของดี แต่เพลงบางเพลงทำอยู่เป็นเดือนเป็นปีเพื่อให้มันออกมาดูดี แม้จะรู้ตั้งแต่เริ่มแล้วว่าเพลงนี้ยังไงมันก็ไปไม่ได้ไกลขนาดนั้น
เป้าหมายต่อไปของวง Coldplay คืออะไร ไม่รู้เหมือนกัน ในฐานะวงดนตรี เราได้ทำทุกอยากที่เคยฝันอยากจะทำไปหมดแล้ว ตอนเราเริ่มวงเราต้องหามือกลอง เราก็ได้วิลมา เราอยากมีเพลงของตัวเอง เราก็ทำเพลงของตัวเอง เราอยากมีโชว์เล็กๆ เราก็มีจนได้ แล้วเราก็ได้เซ็นสัญญา ได้ทำอัลบั้ม แล้วก็ได้ไปเล่น Glastonbury แล้วก็ได้เล่นในสเตเดี้ยม เราได้ทำทุกอย่างที่เราเคยฝันหมดแล้ว ตอนนี้เราไม่รู้แน่แล้วล่ะ ว่าเราจะทำอะไรกันต่อไป คำถามต่อไปก็มี: เราควรเป็นวงใหญ่กว่านี้อีกหรือเปล่า, เราควรพยายามเป็นนักดนตรีที่ดีกว่านี้หรือเปล่า, เราควรหายตัวกันไปเลยหรือเปล่า, หรือ เราถึงเวลาพูดว่า "ทุกสิ่งที่ผ่านมานั้นล้วนยิ่งใหญ่เหลือหลาย ขอบคุณมาก" กันหรือยัง ทั้งหมดนี้เราไม่รู้ รู้แต่เรายังสนุกกับการทำเพลงด้วยกัน ผมคิดว่าเราต้องตัดสินใจกันต่อไปว่าจะทำเพลงแบบไหนกันอีก และจะนำเสนอเพลงเหล่านั้นยังไง จะทำอัลบั้มอลังการพร้อมการโปรโมทเว่อวังออกทีวีนั่นนี่ หรืออยากจะแค่ทำอะไรประหลาดๆ แล้วปล่อยออกมา
วงมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหนในการออกแบบอาร์ตเวิร์คอัลบั้ม และมิวสิควิดีโอ ถ้าปกอัลบั้มเรามีส่วนร่วมกันมากๆ เราทำอาร์ตเวิร์กกันเองเยอะมาก ส่วนพวกมิวสิควิดีโอจะเป็นการทำงานกับผู้กำกับ บางทีเขาก็ส่งไอเดียเข้ามาแล้วเราก็เลือกๆ ไปอันนึง พวก MV นี่เราไม่ค่อยยุ่ง แต่ถ้าเป็นอาร์ตเวิร์คอัลบั้มจะต้องมาจากเราเท่านั้น
Will Champion - Drums
คุณเปรียบเทียบอัลบั้มล่าสุดกับอัลบั้มที่ผ่านๆ มายังไง เพราะฟังแล้วมันต่างกันมากเลย อ๋อ ใช่ เพราะสิ่งที่เราพยายามทำกันในทุกอัลบั้มคือสร้างโลกใบใหม่ ไม่ว่าจะด้วยซาวด์ เทคนิคในการทำเพลงหรือสไตล์เพลง ดังนั้นเราเลยพยายามร่วมงานกับคนที่ต่างกันไป ใช้อุปกรณ์ที่ต่างกันไป พยายามทำให้ซาวด์มันสดใหม่ อย่างอัลบั้มนี้เราก็ทำงานกับ Stargate ซึ่งเป็นคนนอร์เวย์สองคนที่ทำดนตรีออกมาได้น่าสนใจมาก และเขาก็มีแนวทางการทำงานชัดเจน ซึ่งก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา มันเลยเป็นการทำงานที่เพลิดเพลินมาก ผมว่าอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ป๊อปที่สุดเท่าที่เราเคยทำเลย เราใช้เทคนิคที่เราไม่เคยใช้มาก่อนเยอะมากนะ เป็นขั้นตอนการทำงานที่น่าสนใจและพาตัวเราไปในจุดใหม่ๆ และได้ลองของใหม่ๆ
ในอนาคต มีใครที่คุณอยากชวนมาร่วมงานด้วยอีก ตอบยากเหมือนกันนะ แต่รู้มั้ย เดี๋ยวนี้มันแปลกมากเลย ที่คุณสามารถร่วมงานกับคนอื่นได้โดยไม่ต้องเจอตัวกัน อย่างเพลงที่เราทำกับบียอนเซ่ เราก็ไม่ได้เจอบียอนเซ่ คือเราเคยเจอกันมาก่อนแล้วล่ะ แต่เพลงที่ทำด้วยกันกับเธอ ระหว่างที่เราอัดดนตรีเธอก็อัดเสียงร้องอยู่ที่ไหนไม่รู้ คุณจะแปลกใจถ้าได้รู้ว่าเดี๋ยวนี้อะไรแบบนี้มันเกิดขึ้นบ่อยมากๆ การที่นักดนตรีทำเพลงด้วยกันโดยไม่ต้องเจอกันเลย คือมันก็มีคนเป็นร้อยที่ผมอยากร่วมงานด้วย แต่อะไรก็ไม่น่าพอใจเท่าการที่เราสี่คนในวงได้เล่นดนตรีด้วยกัน แล้วเกิดอะไรเจ๋งๆ ระหว่างนั้น สิ่งที่ทำให้ผมแฮปปี้ที่สุดตลอด 20 ปีที่ผ่านมาคือเวลาที่เรามีชิ้นงานใหม่ๆ ร่วมกัน นี่ทำให้ผมรู้สึกดีใจที่ได้มีวงนี้ และมีเพื่อนซี้แบบนี้ นี่แหละสิ่งสำคัญที่สุดตลอด 20 ปี
เพลงไหนที่คุณชอบเล่นในคอนเสิร์ตที่สุด นี่ก็ตอบยากอีก เพราะเหมือนถามว่า "คุณรักลูกคนไหนมากที่สุด" แต่ถ้าช่วงนี้ผมชอบเปิดคอนเสิร์ตด้วยเพลง The Scientist เพราะว่าท่อนเปิดของเพลงมันใหญ่ ดัง และฮึกเหิม และมันดีต่อพวกเราที่จะได้ปลดปล่อยข้างในออกไปให้หมด และที่ดีกับผมในคืนนี้นะ คือมันร้อนมาก ผมจะต้องเหงื่อท่วม เพลงนี้มันจะช่วยให้ผมได้ปล่อยพลัง
พูดถึงเรื่องลูก ตอนนี้คุณมีลูกสามคนแล้ว (ลูกชายคนโต 11 ขวบ ลูกสาวฝาแฝดอายุ 9 ขวบ) คุณคุยกับลูกๆ เรื่องดนตรีบ้างไหม คุยสิ ลูกๆ เขารักดนตรีกันมาก (พอวิลพูดถึงลูกๆ สีหน้าสดใส แววตาเป็นประกายมาก)
เขาชอบวงไหนบ้าง ชอบ Coldplay กันหรือเปล่า ชอบสิ! ก็โชคดีไป จะแย่มากถ้าเขาไม่ชอบ แต่เขาก็ชอบพวกเพลงป๊อป เขาชอบ Ed Sheeran ชอบ The Chainsmokers แล้วใครอีกน้า...
จัสติน บีเบอร์? อันนั้นเขาก็ชอบ แล้วตอนนี้เขาก็เริ่มเข้าวัยที่มาชอบพวกดนตรีเต้นๆ ที่ผมเก็บๆ ไว้แล้วล่ะ
แล้วตอนนี้คุณชอบวงไหน ผมว่ามันตอบยากมากนะ ในยุคที่คุณสามารถใส่ประวัติศาสตร์ดนตรีเข้าไปในโทรศัพท์ได้ศัพท์ได้ทั้งหมด แล้วก็ยากที่จะไม่สนว่าตอนนี้เพลงไหนมันฮิตอยู่ คือบางทีคุณก็ดูชาร์ตแล้วก็ เออ เพลงนี้มันฮิต ไหนลองหามาฟังสักหน่อยซิ ซึ่งการทำอย่างนั้น มันก็คือการทำให้เพลงยังอยู่บนชาร์ตต่อไป ผมเลยคิดว่าชาร์ตเพลงสมัยนี้มันไว้ใจได้ยากสักหน่อย เดี๋ยวนะ ผมกำลังคิดว่าตอนนี้ชอบใครอยู่...วันก่อนเพิ่งพูดไปในสัมภาษณ์เอง อ้อ! คนนี้-- James Blake ใครอีกล่ะ Nick Cave อัลบั้มใหม่ Skeleton Tree นี่ก็มหัศจรรย์มาก นอกจากนี้ก็พวกเพลงที่ลูกๆ ผมเอามาให้ฟัง เขาก็จะมาแบบว่า “พ่อเคยฟังนี่ยังอ่ะ รู้จักเพลงนี้ป่าว” แล้วผมก็จะแบบว่า “ใครอ่ะ นี่ไปหามาจากไหนเนี่ย?” “อ๋อ แม่เขาเปิดในรถเมื่อวันก่อน” นั่นล่ะครับ เด็กๆ จะจำพวกเพลงได้ดีมาก แล้วผมก็ปลื้มที่พวกเขาชอบฟังเพลงกัน แล้วก็ชอบหาเพลงมาฟังกันด้วย
คุณฟังเพลงวงตัวเองบ้างหรือเปล่า ไม่ฟัง แต่ลูกๆ ผมเขาชอบฟังกันนะ ซึ่งดีแล้ว บางทีผมกลับบ้านจากห้องอัด ก็จะหิ้วเพลงใหม่มาให้เขาฟังแล้วถามว่าเขาคิดยังไง
การที่เขามีพ่ออยู่ในวงดังขนาดนี้ คุณบอกลูกคุณยังไง ว่าทำไมพ่อถึงงานยุ่งตลอดเวลา ลูกๆ ผมเขาก็รู้แหละว่าผมทำงานอะไรเพราะผมก็พาเขาไปไหนมาไหนด้วย นี่พรุ่งนี้เขาก็จะบินมาถึงแล้ว ซึ่งดีมาก แต่ผมก็พยายามบอกเขาว่า สิ่งที่พ่อทำอยู่มันไม่ปกตินะ แล้วก็อย่าไปชินกับมัน คือผมคิดว่าเราโชคดีมากๆๆ ที่ได้มีชีวิตแบบนี้ ได้เดินทางรอบโลกเพื่อไปเล่นดนตรีให้ผู้คนฟัง ผมจะบอกพวกเขาเสมอ ว่าที่พ่อโชคดีแบบนี้เพราะพ่อได้ทำงานที่พ่อรัก และผมจะบอกให้พวกเขาค้นหาสิ่งที่เขาหลงไหลและหาทางสร้างชีวิตจากสิ่งนั้นให้ได้ อีกอย่างที่ผมบอกเขาประจำ คือพวกเราโชคดีมากและโชคดีขนาดไหนที่ได้มีชีวิตที่ดีแบบนี้ แต่ผมก็พยายามทำทุกอย่างให้ติดดินที่สุด เราก็ยังขึ้นรถเมล์ ใช้รถใต้ดินกันอยู่
มีอะไรที่คุณคิดถึงตอนยังเป็นนักดนตรีจนๆ บ้าง คือแม้ตอนนี้มันจะดีกว่าแต่ก่อน...มาก แต่ความรู้สึกโลดโผนบางอย่างมันก็เกิดขึ้นได้เฉพาะตอนที่คุณยังเป็นหนุ่มเท่านั้น เช่นตอนที่คุณอายุ 19-20 แล้วได้ไปเมืองนอกครั้งแรก ได้ไปเล่นในประเทศใหม่เป็นครั้งแรก ตอนที่ทุกอย่างมันใหม่ไปหมด คือตอนนี้เราก็ยังได้ไปประเทศใหม่ๆ และเจอประสบการณ์ใหม่ๆ กันนั่นล่ะ แต่มันมีความรู้สึกที่มหัศจรรย์บางอย่างที่จะเกิดขึ้นเฉพาะกับคนวัยหนุ่มที่กำลังท่องโลกเท่านั้น ความตื่นเต้นของการไม่รู้เรื่องในสิ่งที่กำลังทำอยู่ แต่ตอนนี้ที่เราเป็นผู้ใหญ่และมีประสบการณ์กันแล้ว เรารู้ว่าเราทำอะไรกันอยู่ และเราต้องมีความรับผิดชอบต่อคนกลุ่มเบ้อเริ่มสองร้อยชีวิตที่เขาทำงานกันเพื่อให้โชว์ของเราสำเร็จได้ เราต้องมีความรับผิดชอบต่อพวกเขาและต่อคนที่มาดูเรา ตอนที่ผมเป็นเด็กเราไม่ได้คิดเรื่องความรับผิดชอบอะไรหรอก ตอนนั้นก็แค่ไฟแรงและอยากทำให้ดีๆ อยากประสบความสำเร็จ แต่ไม่คิดว่าเรามีความรับผิดชอบเหมือนตอนนี้
ตอนนี้คุณยังมีความทะยานอยากอะไรที่ต้องการบรรลุอีก ความอยากของเราคืออยากทำโอกาสดีๆ ที่เราได้มาให้ดีที่สุดทุกครั้ง ตอนนี้เราแฮปปี้ที่เป็นวงดนตรีและเป็นเพื่อนกัน ผมดีใจมากที่ได้ทัวร์ครั้งนี้และเราก็สนุกกันมาก สิ่งที่เราอยากบรรลุอีกเรื่องก็คืออยากให้มันเป็นไปด้วยดีพร้อมกับสุขภาพที่แข็งแรงและมีความสุข นี่เป็นข้อสำคัญที่สุดเลย บางทีคนเราก็ทำงานเยอะเกิน ทำอะไรเยอะเกินจนไม่สนุกไปกับมัน ถ้าเป็นอย่างนั้นผมขอหยุดพักแล้วค่อยกลับมาทำใหม่ดีกว่า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีความสุขทั้งเรื่องเพื่อน เรื่องสุขภาพ และสนุกไปกับดนตรี
ทัวร์รอบโลกแบบนี้ เคยมีปัญหาที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองบ้างมั้ย ยังไม่เคยเลย ทีมงานเขาจัดการเรื่องพวกนี้กันเก่งมากนะ ผมนี่ซาบซึ้งจริงๆ เลย
ขอขอบคุณ Warner Music Thailand และ BEC-Tero Entertainment Coldplay อัลบั้ม "A Head Full of Dreams" จำหน่ายในรูปแบบ CD แล้วและข้างในปกสวยมาก
Comments